นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่าหลังจากหลายหน่วยงานเศรษฐกิจปรับเป้าหมายคาดการณ์เติบโตของเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ทั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ขยายตัว 4.8% คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 4.4% ขณะที่กระทรวงการคลังยังมั่นใจเติบโตไม่ต่ำกว่า 4.5% เพราะหลายปัจจัยหนุนการเติบโตทิศทางเดียวกันทุกสาขาในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และจะส่งผลต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจทั้งปี จึงมองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มแข็งแรง เพราะยังมีทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐช่วยส่งเสริม แม้จะมีสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐ ยุโรป จีน แต่มองว่ากระทบไทยไม่มากนัก อีกทั้งยังเป็นโอกาสของไทยที่สามารถส่งออกสินค้าบางส่วนเข้าไปทดแทน
นอกจากนี้ การส่งออกไปอาเซียนมีสัดส่วนใหญ่ของการส่งออกทั้งหมด ด้วยการหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียนด้วยกันเองแทนการพึ่งพาการส่งออกไปประเทศคู่ค้าเดิม เพราะขณะนี้เศรษฐกิจอาเซียนเริ่มเติบโตพึ่งพาตนเองได้ ขณะที่ในส่วนของไทยเมื่อเริ่มช่วยเหลือรายย่อยผ่านโครงการหลายด้าน คาดว่าไทยจะหลุดพ้นจากประเทศกับดัก
รายได้ปานกลาง เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยพ้นจากความยากจนได้ตามกำหนด เพราะหลายมาตรการเริ่มส่งผลให้มีรายได้สูงขึ้น สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยมองว่ายังไม่มีเหตุหรือจำเป็นปรับเพิ่มดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงนี้
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)รายงานนโยบายการเงิน เดือนมิถุนายน 2561 ว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และการตอบโต้จากประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ถือเป็นความเสี่ยงมากที่สุดต่อประมาณการเศรษฐกิจที่จะโน้มไปด้านต่ำมากกว่าที่เคยประเมินไว้ แม้ว่า กนง.จะปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เป็น 4.4% จากเดิม 4.1% โดยมองว่าแม้ปัญหากีดกันทางการค้าในปัจจุบันยังมีผลกระทบน้อย แต่จะมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป หากปัญหารุนแรงขึ้นจนมีผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลกชะลอตัวจะมีผลต่อการส่งออกของไทยในปี 2562 อาจจะโตต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 5%จากปีนี้ที่คาดว่าโต 9%
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หากการส่งออกของจีนถูกกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า ในฐานะประเทศไทยที่อยู่ในซัพพลายเชน อาจถูกกระทบไปด้วย และหากประเทศที่ถูกกีดกันทางการค้า เข้ามาแย่งตลาดเรา หรือทุ่มตลาด ผู้ส่งออกไทยอาจถูกกระทบได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากมาก
นอกจากนี้ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ กระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยนักลงทุนลดการถือสินทรัพย์เสี่ยงในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกมากขึ้น โดยสิ้นไตรมาส 2/61 มีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และออกจากตลาดพันธบัตรไทย 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะเริ่มลดลง และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตจะมีความสำคัญมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี