ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจัดทำวิเคราะห์ “หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2/2561 ... กว่าครึ่งหนึ่งของหนี้ที่เพิ่มเป็นผลจากสินเชื่อบ้าน-รถ” โดยระบุว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 2/2561 ขยับขึ้นมาที่ 12.34 ล้านล้านบาทเติบโต 5.7% เมื่อเทียบปีต่อปี (YoY)โดยหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่น่าจะเป็นผลมาจากการเร่งตัวขึ้นของยอดคงค้างสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ทั้งนี้ หากนับเฉพาะการขยับขึ้นยอดคงค้างสินเชื่อบ้าน จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 38% ของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างไตรมาส 2 อย่างไรก็ดีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ในไตรมาส 2/2561 ยังคงชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 77.5% โดยเป็นผลมาจากเศรษฐกิจ (วัดจาก Nominal GDP) ที่ขยายตัวเร็วกว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือน
“การขยับขึ้นของหนี้ครัวเรือนดังกล่าว สะท้อนสภาพการแข่งขันในตลาดสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่ออุปโภคบริโภคอื่นๆ ของ 3 กลุ่มหลักได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) สวนทางกับสถาบันการเงินประเภทอื่นๆ ที่มีบทบาทลดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2561” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
สำหรับแนวโน้มของหนี้ครัวเรือน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อานิสงส์จากเศรษฐกิจไทยที่เติบโตดีขึ้น อาจส่งผลทำให้ยังคงเห็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปี 2561 นี้ ขยับลงต่อเนื่องมาอยู่ในกรอบ 77.0-78.0% อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ก้อนใหญ่ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสขยับขึ้นในระยะข้างหน้า อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนบางกลุ่ม แม้ปัจจัยดังกล่าวอาจจะไม่กระทบต่อทิศทางของหนี้ครัวเรือนในภาพรวมมากนัก หากเศรษฐกิจไทยยังคงประคองการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า
ขณะที่ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง แจ้งว่า กรมสรรพากรได้ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2562
ทั้งนี้ ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 669) พ.ศ. 2561 โดยให้ยังคงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 รวมภาษีท้องถิ่น
(ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 6.3 และภาษีท้องถิ่นร้อยละ 0.7) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี
ทั้งนี้ การลดอัตราภาษีลงมานั้นเนื่องจากกฎหมายปัจจุบันกำหนดให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 จึงจำเป็นต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มลงมาที่อัตราร้อยละ 7 รวมภาษีท้องถิ่น การขยายเวลาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเดิมร้อยละ 7 ดังกล่าว เพื่อเป็นการกระตุ้นกลไกเศรษฐกิจ และช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง อันจะทำให้การบริโภคและการลงทุนของประเทศมีการขยายตัวต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี