คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ที่ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการ บีโอไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุม รับทราบตัวเลขการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรก ปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2561) ว่า การลงทุนขยายตัวทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมาย และในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนมากเป็นอันดับ 1 แต่ที่เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก คือ นักลงทุนจากประเทศจีนยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ยอดเงินลงทุนรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปี 2560 มียอดคำขอเพียง 11,000 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมการยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุน 9 เดือนแรก ปีนี้ มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 1,125 โครงการ เงินลงทุนทั้งสิ้น 377,054 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาที่มี 1,021 โครงการ ขณะที่เงินลงทุนใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 373,908 ล้านบาท การขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 69 โดยมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 525 โครงการ เงินลงทุนรวม 290,482 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมามีมูลค่า 171,584 ล้านบาท อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด ได้แก่ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองมา คือ ยานยนต์และชิ้นส่วน การท่องเที่ยว การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และดิจิทัล เป็นต้น
นางสาวดวงใจกล่าวว่า ในส่วนการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมี 288 โครงการ ขยายตัวร้อยละ 13 เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมามีจำนวน 255 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุน 230,554 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 117 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าเงินลงทุน 106,126 ล้านบาท
“เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประเทศต้องการ ที่ประชุม
บีโอไอได้เห็นชอบมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมภายในปี 2562 โดยมุ่งเน้นส่งเสริมโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบสูงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและเป็นกิจการในอุตสาหกรรมที่ใช้ระดับเทคโนโลยีขั้นสูง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมฐานความรู้ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงรวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นางสาวดวงใจ กล่าว
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับคำขอที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 จนถึงสิ้นปี 2562 โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่ม คือ การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้ จะต้องเป็นโครงการที่มีเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกประเภทกิจการ ยกเว้นกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปีขึ้นไปตามเกณฑ์สิทธิปกติ แต่ไม่เกิน 8 ปี ตั้งสถานประกอบการได้ทุกพื้นที่ทุกจังหวัดยกเว้นกรุงเทพมหานคร และดำเนินการตามกำหนดเวลาทุกขั้นตอน
ที่ประชุมยังได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นมาตรการที่ปรับปรุงมาจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรระดับท้องถิ่นที่ใช้ในปัจจุบัน โดยมาตรการที่ปรับปรุงใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้กับคำขอที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 ถึงสิ้นปี 2563 มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากนี้จะมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงกว่าเข้าไปสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถขององค์กรท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน และมาตรการอื่นๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี