ค่ายรถยนต์ฟันธงตรงกันรถยนต์ยุคใหม่ "รุกคืบ...ก้าวสู่สังคมรถไฟฟ้า" เชื่อมคนเชื่อมเทคโนโลยีเชื่อมสิ่งแวดล้อมเชื่อมบริการพร้อมทุ่มงบวิจัยและพัฒนาเร่งให้ความรู้ผู้บริโภคชี้ตลาดรถยนต์ปีนี้ทะลุล้านคันแน่นอนปีหน้าโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 % ปัจจัยบวกเพียบเก๋งกระบะอีโคคาร์ยอดขายเพิ่มสูงสุดเป็นสถิติใหม่ตลาดกระบะบรรทุกเพื่อการพาณิชย์
สมาคมผู้สื่อข่างรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ (Thailand Automotive Journalists Association : TAJA) จัดเสวนาทางวิชาการหัวข้อ “ชี้แนวร่วมรัฐเอกชนเปิดยุทธศาสตร์ยานยนต์ใหม่รุกทันกระแสโลก...?” โดยมีผู้บริหารจากบริษัทรถยนต์ชั้นนำและองค์กรภาคเอกชนมาร่วมแสดงความคิดเห็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ว่าเนื่องจากปีนี้อุตสาหกรรมรถยนต์ก้าวสู่มิติใหม่นั้นคือแนวโน้มการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดโดยยอดการผลิตรถยนต์ทุกแบรนด์ในเดือนตุลาคม 2561 อยู่ที่ 197,203 คันเพิ่มขึ้น 20.62 เปอร์เซ็นต์จากปีที่ผ่านมารถยนต์นั่งมียอดการผลิต 76,905 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา 9.31 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรถกระบะ 1 ตัน มียอดการผลิต 117,539 คันเพิ่มขึ้น 30.15 เปอร์เซ็นต์ จะสังเกตเห็นได้ว่าในช่วงนี้การผลิตรถกระบะ 1 ตัน จำนวนเพิ่มมากขึ้นอันนี้ชี้ให้เห็นถึงการเติบของเศรษฐกิจของประเทศเพราะรถกลุ่มนี้ผู้บริโภคจะซื้อไปใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นหลักซึ่งคาดว่าการผลิตรถในเดือนพฤศจิกายน 2561 จะยังคงใกล้เคียงกับเดือนตุลาคมด้วยเหตุที่ผู้ผลิตต้องเร่งผลิตรถล่วงหน้าเพื่อชดเชยวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่และผลิตรถรองรับยอดจองที่จะเกิดขึ้นในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 35 ซึ่งคาดว่าจะมียอดจองประมาณ 4-5 หมื่นคัน
ทางด้านสถิติการผลิตรถยนต์ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2561 รวมทุกประเภทอยู่ที่ 1,801,319 คันเพิ่มขึ้น 9.75 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นรถยนต์นั่งผลิตอยู่ที่ 738,340 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.19 เปอร์เซ็นต์ รถโดยสารมากกว่า 10 ตันผลิต 437 คันเพิ่มขึ้น 95.09 เปอร์เซ็นต์ รถบรรทุกมากว่า 5 ตันแต่ไม่เกิน 10 ตันผลิต 26,899 คันเพิ่มขึ้น 3.83 เปอร์เซ็นต์ส่วนรถกระบะ 1 ตัน 1,035,643 คันเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 11.05 เปอร์เซ็นต์การผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่และการผลิตกระบะ 1 ตันเติบโตเป็นดรรชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ขยายตัวเติบโตขึ้นอีกด้วยเนื่องจากการผลิตรถกระบะ 1 ตันเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย 55 เปอร์เซ็นต์และเพื่อการส่งออก 45 เปอร์เซ็นต์
เมื่อมาดูสถิติการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2561 มีการผลิตเพื่อการส่งออกรวมทั้งสิ้น 961,615 คันเพิ่มขึ้น 2.42 เปอร์เซ็นต์แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 349,085 คันลดลงจากปีก่อนหน้า 0.01 เปอร์เซ็นต์ รถกระบะ 1 ตัน 612,530 คันเพิ่มขึ้น 3.86 เปอร์เซ็นต์รถกระบะบรรทุก 74,068 คัน ลดลง 2.10 เปอร์เซ็นต์ระกระบะดับเบิลแค็บ 441,493 คันเพิ่มขึ้น 5.28 เปอร์เซ็นต์รถอเนกประสงค์ PPV จำนวน 96,969 คันเพิ่มขึ้น 2.32 เปอร์เซ็นต์ขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศรวมทั้งสิ้น 839,704 คัน เพิ่มขึ้น 19.56 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 389,255 คันเพิ่มขึ้น 16.77 เปอร์เซ็นต์ รถกระบะ 1 ตัน 423,113 คัน เพิ่มขึ้น 23.41 เปอร์เซ็นต์แบ่งย่อยเป็นรถกระบะเพื่อการบรรทุก 215,212 คันเพิ่มขึ้น 18.23 เปอร์เซ็นต์ รถกระบะดับเบิลแค็บ 150,562 คัน เพิ่มขึ้น 31.84 เปอร์เซ็นต์รถอเนกประสงค์ PPV 57,339 คัน เพิ่มขึ้น 22.96 เปอร์เซ็นต์ รถยนต์โดยสาร 10 ตันขึ้นไป 437 คัน เพิ่มขึ้น 95.09 เปอร์เซ็นต์และรถบรรทุก 26,899 คัน เพิ่มขึ้น 3.83 เปอร์เซ็นต์
“การเติบโตขึ้นของตลาดรถกระบะเพื่อบรรทุกเป็นดรรชนีชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเนื่องจากความต้องการใช้รถของผู้บริโภคเพื่อใช้งานเพื่อการพาณิชย์อุตสาหกรรมก่อสร้าง-โครงพื้นฐานและเกษตรกรรมนอกจากนี้ความต้องการรถยนต์ในกลุ่มรถอเนกประสงค์SUV ยังสดใสตลาดเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องโดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาส่วนแบ่งจากตลาดจากกลุ่มรถยนต์นั่งสูงถึง 69 เปอร์เซ็นต์โดยปัจจัยบวกมาจากขนาดเครื่องยนต์เล็กลงทำให้ราคาลดลงผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นอัตราการเติบโตจึงดีมากๆนอกจากนี้ตลาดรถอเนกประสงค์PPV ยังเติบโต 8.9 เปอร์เซ็นต์ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์รถยนต์ในกลุ่มนี้” นายสุรพงษ์กล่าว
จากการความต้องการของตลาดภายในประเทศมากขึ้นคาดว่าประมาณการการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะสร้างสถิติใหม่อีกครั้งที่ 2,100,000 คันเติบโต 5.59 เปอร์เซ็นต์เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,000,000 คันเพิ่มขึ้น 15.96 เปอร์เซ็นต์และผลิตเพื่อการส่งออก 1,100,000 คัน ลดลง 2.35 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนตุลาคม 2561 รวมทั้งสิ้น 201,326 คัน เพิ่มขึ้น 2.78 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นผลิตรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 167,314 คันเพิ่มขึ้น 1.91 เปอร์เซ็นต์และชิ้นส่วนประกอบ (CKD) 34,012 คัน เพิ่มขึ้น 2.78 เปอร์เซ็นต์ ( คำนวณจากการใช้ชิ้นส่วนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คิดเป็น 1 คัน )
ทางด้านการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ตั้งแต่เริ่มโครงการปี 2643 - ตุลาคม 2561 มีการผลิตทั้งหมด 2,387,512 คัน ผลิตเพื่อส่งออก 1,314,492 คัน คิดเป็นเป็นสัดส่วน 55 เปอร์เซ็นต์ ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,073,020 คัน คิดเป็นสัดส่วน 45 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2561 มีจำนวน 317,621 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 7 เปอร์เซ็นต์โดยเป็นการผลิตเพื่อกาส่งออก 145,183 คันลดลงจากช่วงเดียวกัน12เปอร์เซ็นต์แลผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 172,438 คันเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกอีโคคาร์ลดลงเนื่องจากความต้องการในประเทศเพิ่มขึ้นสัดส่วนการจำหน่ายอีโคคาร์ในประเทศเพิ่มเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ส่งออก 45 เปอร์เซ็นต์จากในช่วงเดียวกันของปีก่อนจำหน่ายในประเทศ 45 เปอร์เซ็นต์ส่งออก55เปอร์เซ็นต์โดยอีโคคาร์มีสัดส่วนจากการผลิตรถทั้งหมด 317,621 คันหรือมีสัดส่วนจากยอดการผลิตรถทั้งหมด 17.63 เปอร์เซ็นต์เป็นการส่งออก 15.10 เปอร์เซ็นต์จำหน่ายในประเทศ 20.54 เปอร์เซ็นต์
ส่วนสถิติการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 2,130,381 คันเพิ่มขึ้น 1.67 เปอร์เซ็นต์แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) จำนวน 1,724,595 คันเพิ่มขึ้น 0.38 เปอร์เซ็นต์และชิ้นส่วนประกอบ (CKD) จำนวน 405,786 คันเพิ่มขึ้น 5.43 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากค่ายรถจักรยานยนต์ใช้ประเทศไทยเป็นการผลิตจักรยานยนต์บิ๊กไบค์เพื่อส่งออกไปต่างประเทศกำลังการผลิตจึงเพิ่มขึ้นตามคงามต้องการของตลาดโลกอย่างไรก็ตามแม้กระแสรถยนต์ไฟฟ้าจะมาแรงทั่วโลกแต่สำหรับในประเทศไทยมีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมถึงเดือนตุลาคม 2561 จำนวน 1.435 คันเพิ่มขึ้น 61 เปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน 2561 ที่มียอดจดทะเบียนสะสม 1,374 คันโดยแบ่งเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนจำนวน 133 คันเพิ่มขึ้น 45 เปอร์เซ็นต์ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คนจำนวน 3 คันรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 1,131 คันโดยรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเป็นรถจักรยานยนต์มากกว่ารถยนต์
ทางด้าน นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กรบริษัทบีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่าตลาดรถยนต์กลุ่มพรีเมี่ยมในปี 2560 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงถึง 27 เปอร์เซ็นต์และคาดว่าปี 2561อัตราการเติบโตของตลาดรถยนต์กลุ่มพรีเมี่ยมจะอยู่ที่ระดับ 28,000 คันหรือมีอัตราการเติบโตจากปีก่อนหน้า 12 เปอร์เซ็นต์โดยในปี 2559 บีเอ็มดับเบิลยูเริ่มให้ความสนใจเข้ามาทำตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) และรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ซึ่งทางบีเอ็มดับเบิลยูได้มีการให้ความรู้เรื่องรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดกับผู้บริโภคผ่านการจัดสัมมนาทางวิชาการในรูปแบบต่างๆและได้ขยายการให้ความรู้ไปสู่การให้ความรู้รถยนต์ไฟฟ้านอกจากนี้ยังให้ทุนการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฮบริดกับสถาบันการศึกษาต่างๆในประเทศไทยโดยรวมไปถึงการลงทุนตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าทั่วประเทศ50สถานีซึ่งจะดำเนินการได้ครบถ้วนภายในปีนี้ผลของการดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวส่งผลให้ปีนี้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริดมีอัตราการเติบโตสูงถึง112เปอร์เซ็นต์นอกจากนี้บีเอ็มดับเบิลยูยังได้ลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ศูนย์พัฒนาAutonomous เมืองมิวนิกประเทศเยอรมนีเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจยานยนต์ในอนาคตของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก4แนวทางที่จะมาเป็นValue Change กุญแจดอกสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์คือ
-A:Autonomous
-E:Electrified
-C:Connected
-S:Services
สำหรับแนวทางการวิจัยและพัฒนารถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอนาคตเพราะการที่สังคมไทยจะก้าวสู่สังคมรถไฟฟ้ายังต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงเพื่อสร้างประโยชย์สูงสุดทั้งภาครัฐเอกชนและผู้บริโภค
นายธีร์เพิ่มพงศ์พันธ์รองประธานฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์บริษัทมาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวถึงแนวทางการพัฒนารถยนต์มาสด้าในอนาคตว่ามาสด้ายังคงยึดแนวคิด zoom-zoom มุ่งเน้นโมเดลธุรกิจ CASE : C=Connected, A=Autonomous, S=Shared, E=Electric ที่ยังคงวิสัยทัศน์ที่โลกผู้คนและสังคมพร้อมวางแผนทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ว่าปี 2573 จะลดการผลิตรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปให้ได้ 50% และในปี 2593 จะลดเหลือเพียง 90% โดยตั้งเป้าหมายให้การผลิตรถยนต์เป็นรถไฟฟ้าแบบไฮบริดหรือปลั๊กอินรวมไปทั้ง EV ให้ได้ 95% ของการผลิตรถทั้งหมดนอกจากนี้ทางมาสด้ายังมีแผนนำเสนอยานยนต์ไร้คนขับออกสู่ตลาดในปี 2568 โดยในอนาคต Mazda EV ก็จะยังคงเป็นรถที่อยู่ในวิสัยทัศน์ที่จะตอบโจทย์นำเสนอให้มีการขับขี่ที่สุกมีความรับผิดชอบต่อโลกและเหมาะสมกับสังคมและผู้คน
“รถไฟฟ้าของทางมาสด้าที่จะเกิดขึ้นจะเป็นการนำเครื่องโรตารี่มาใช้ในการสร้างกระแสไฟฟ้ากลับไปสู่แบตตอรี่ในรูปแบบไฮบริดรวมถึงจะมีการต่อยอดการผลิตให้รองรับแก๊สแอลพีจีทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมถึงเรื่องของกระแสดไฟฟ้าที่อาจะมีผลกระทบจากพายุหรือไฟฟ้าดับสามารถนำเชื้อเพลิงจากแก๊สแอลพีจีมาใช้กับรถแล้วจ่ายไฟกลับไปยังเครื่องใช้ต่างๆในบ้าน”นายธีร์กล่าว
ทางด้าน นายองอาจ พงศ์กิจวรสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเปิดเผยว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการผลิตอยู่ในอันดับ12ของโลกอันดับ4ของเอเซียและเป็นที่1ของอาเซียนและโอเชียเนียรวมถึงตะวันออกกลางซึ่งถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในการเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์และที่สำคัญประเทศไทยยังติดอันดับหนึ่งในห้าของโลกในเรื่องของความคุ้มค่าในการผลิตเทียบเท่าญี่ปุ่นหรือประเทศชั้นนำของโลกด้วยกระแสของโลกอุตสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบันจะเห็นว่ามีแนวโน้มไปเรื่องของรถพลังงานไฟฟ้าหรืออีวีซึ่งเหตุผลของการเกิดอีวีนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของอีวีคือมีมลภาวะน้อยกว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้เชื้อเพลิงแต่ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายมากนักโดยมียอดขายรถอีวีไม่ถึง1%แต่อย่างไรก็ตามในหลายประเทศได้มีการพัฒนาและมีทิศทางนโยบายการใช้รถอีวีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตัวอย่างเช่นยุโรปคาดว่าปี2573จะมีรถที่เป็นไฮบริดหรือปลั๊กอินและอีวีอยู่ที่20-30%ส่วนมหาอำนาจอย่างจีนตั้งเป้าว่าในปี2593จีนจะใช้รถเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดส่วนญี่ปุ่นมีการคาดการณ์ว่า2593จะลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Effect) ให้ได้80 % โดยในอนาคตอันใกล้รถยนต์100คันจะต้องเป็นรถไฟฟ้า20-30%
“ทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคตสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คงไม่พ้นเรื่องของแบตเตอรี่จะถูกพัฒนาให้ได้ระยะการขับขี่ได้ไกลขึ้นต่อมาเรื่องแรงบิดที่จะถูกพัฒนาให้สามารถลากจูงของที่มีขนาดใหญ่ได้อันต่อมาก็คงไม่พ้นเรื่องราคาที่ถูกลงและสุดท้ายคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รถไฟฟ้าเกิดขึ้นมาได้เร็วยิ่งขึ้นสุดท้ายคือประเทศไทยจะรักษาฐานการผลิต3ล้านคันและรักษามาตรฐานการผลิตเหนือคู่แข่งในตลาดจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวและเปลี่ยนแปลงการผลิตรถไฟฟ้าเพราะอย่างไรรถไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว” นายองอาจกล่าว
ขณะที่ นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดบริษัทนิสสันมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัดมองแนวโน้มตลาดรถยนต์ว่าในฐานะที่นิสสันเป็นบริษัทข้ามชาติการกำหนดกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจจึงเป็นกลยุทธ์ระดับโลกเพื่อตอบโจทย์การตลาดทั่วโลกซึ่งจะขับเคลื่อนภายใต้ปรัชญา “Nissan Intelligent Mobility : NIM” คือเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขับขี่ในอนาคตที่นิสสันพัฒนาขึ้นมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้ผู้ขับขี่ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อระว่างระบบนิเวศชุมชนและผู้ขับขี่เข้าด้วยกันนับเป็นกุญแจสำคัญสู่โลกสะอาดและปลอดภัยนับจากนี้ไปนิสสันจะสร้างแบรนด์เพื่อสร้างการรับรู้ด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้คือ
-Nissan Intelligent Power: ความก้าวล้ำของระบบขับเคลื่อน
-Nisssan Intelligent Driving: ความก้าวล้ำของการขับขี่
-Nissan Intelligent Integration: ความก้าวล้ำของการผสานเทคโนโลยี
จากข้อมูลการวิจัยของสำนักงานสถิติแห่งล่าสุดระบุว่าในปี2573ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ การเคลื่อนไหวและการเชื่อมต่อ (Mobility + Connected) จะเข้ามาอยู่บนรถยนต์และเคลื่อนไหวไปพร้อมกับรถและผู้ขับขี่
“ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากความต้องการของผู้บริโภค (Demand) รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะเข้ามาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ก็เช่นกันจากข้อมูลของนิสสันระบุว่ามีคนจำนวนมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์มีความสนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าโดยมีจำนวน1ใน3ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มอีก5เปอร์เซ็นต์เพื่อที่จะได้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าต้องยอมรับว่าอนาคตยานยนต์ปฏิเสธไม่ได้ในสิ่งที่กำลังจะมาถึงดังนั้นค่ายรถยนต์ต้องเร่งให้ความรู้เตรียมความพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต”นางสาวสุรีทิพย์กล่าวในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี