นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2561 พบว่า ส่วนใหญ่87.4% มีหนี้สินเพื่อการใช้จ่ายทั่วไป และหนี้จากการซื้อยานพาหนะ รวมถึงหนี้เพื่อประกอบธุรกิจ โดยเฉลี่ยมีหนี้สูงถึง 316,623 บาทต่อครัวเรือน ขยายตัว 5.8% จากปี 2560 ที่เฉลี่ย 299,266 บาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ค้างเก่าซึ่งมียอดการผ่อนชำระเฉลี่ยเดือนละ 15,925 บาทแต่ยังมีสัดส่วนหนี้ในระบบ 64.7% ที่ยังสูงกว่าสัดส่วนหนี้นอกระบบที่ 35.3%
หากดูการก่อหนี้ปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่ามีการกู้นอกระบบเพิ่มขึ้น 18.7% จากปีก่อน 1.2% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซึมตัวลง จากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงและสงครามการค้าเริ่มมีผลกระทบให้เศรษฐกิจ แม้ภาพรวมจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่ยังกระจุกตัวเฉพาะบางพื้นที่ สาเหตุของการเป็นหนี้ก็คือค่าครองชีพสูงขึ้น ซื้อสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น และผ่อนสินค้ามากเกินไปส่วนใหญ่ถึง 86.8% เคยประสบปัญหาการขาดผ่อนชำระหรือผิดนัดชำระเงิน เนื่องจากหมุนเงินไม่ทัน เพราะรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย และเชื่อว่าใน 6 เดือน หรืออีก 1 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่จะประสบปัญหาการชำระหนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดีและรายได้ลดลง
อย่างไรก็ตาม มองว่าภายใน 1 ปีนับจากนี้ยังมีความต้องการที่จะกู้เงินเพิ่ม เพื่อมาใช้จ่ายทั่วไป ชำระหนี้เก่า และลงทุนประกอบอาชีพ เนื่องจากมีความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจของประเทศที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจภายในครอบครัว ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และดูแลค่าครองชีพ ควบคุมราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ
นายธนวรรธน์กล่าวว่า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2561ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 มาอยู่ที่ระดับ 80.5 จากเดือนก่อนหน้าที่ 81.3 เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดทรงตัวระดับต่ำ โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน รวมทั้งนักท่องเที่ยงจีนที่ลดลง และสงครามการค้าสหรัฐและจีนที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น จนถึงสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัวลง ซึ่งค่าดัชนียังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติที่ระดับ 100 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังกังวลถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมที่ยังฟื้นตัวไม่มาก
จากผลการสำรวจภาวการณ์ใช้จ่ายของผู้บริโภค ทั้งดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์คันใหม่ การซื้อบ้านหลังใหม่และความเหมาะสมในการลงทุนทำธุรกิจเอสเอ็มอี ลดลงทุกรายการ แต่ดัชนีความเหมาะสมในการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวกลับปรับตัวดีขึ้นในรอบ 3 เดือน รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต แม้จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 92.0 แต่ใกล้เคียงระดับปกติที่ 100
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีปัจจัยบวกมากขึ้น หลังจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และปัญหาสงครามการค้าเริ่มมีการเจรจากัน ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายรายการเริ่มดีขึ้น และช่วงสิ้นปีประชาชนมีการเฉลิมฉลองตามเทศกาลปีใหม่ รวมทั้งรัฐบาลออกมาตรการช็อปช่วยชาติกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลบวกต่อการจับจ่ายเพิ่มขึ้น และการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมาและประเทศอื่นๆ ก็มาเที่ยวไทยมากขึ้น น่าจะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคมนี้ดีขึ้นทำให้ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2561 เติบโต 4.2% แต่ยังต้องติดตามท่าทีกลุ่มโอเปกที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลก และปัญหาสงครามการค้าจะยืดเยื้อหรือไม่ ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตเกิน 4-4.5% แต่ก็มีหลายปัจจัยที่ต้องจับตาคือทางออกสงครามการค้า ราคาน้ำมัน เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี