ผู้ผลิต-ผู้ใช้เหล็กชี้ยุติมาตรการเซฟการ์ดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยด์ อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศพังแน่ วอนรัฐฯต่ออายุเซฟการ์ดที่กำลังหมดอายุลงวันที่26ก.พ.62 ป้องกันสงครามทางการค้า สินค้าเหล็กที่ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศที่มีมาตรการทางการค้าระบายเข้ามา เผยหลายประเทศใช้มาตรการเซฟการ์ดในรูปแบบพิเศษ เปิดไต่สวนสินค้าเหล็กหลายประเภทในคราวเดียวซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
30 ม.ค.62 นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมฯ เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวกระทรวงพาณิชย์ไม่ขยายเวลาบังคับใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น หรือเซฟการ์ด ของสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยด์ ซึ่งมาตรการจะหมดอายุลงในวันที่ 26 ก.พ.62 ว่าได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กทั้งวงการ เนื่องจากขณะนี้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างมีนโยบายในการคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศจากสงครามทางการค้า แต่ประเทศไทยกลับมีนโยบายที่สวนกระแสโลก เซฟการ์ดเป็นมาตรการที่มีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์สงครามทางการค้าของสหรัฐอเมริกา-จีน ซึ่งปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกาที่ใช้มาตรการ 232
"สหภาพยุโรป ตุรกี และแคนาดา ใช้มาตรการเซฟการ์ดในรูปแบบพิเศษ ที่เปิดไต่สวนสินค้าเหล็กหลายประเภทในคราวเดียวซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้น สินค้าเหล็กที่ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ได้ย่อมต้องถูกระบายไปยังประเทศที่ไม่มีมาตรการทางการค้า และหากไทยยุติมาตรการเซฟการ์ดในช่วงนี้ก็จะทำให้เกิดวิกฤติต่ออุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศ ดังเช่นในปี 2556 ซึ่งเป็นช่วงก่อนบังคับใช้มาตรการผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนบางรายต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวไปเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี และหากมองจากสถานการณ์ในครั้งนี้ผลกระทบจะมีความรุนแรงเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน"
"หากมีสินค้าไหลทะลักเข้ามาหลังยุติมาตรการ กลุ่มผู้ผลิตในประเทศที่มีการลงทุนไปกว่า 200,000 ล้านบาท อาจต้องเผชิญอุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดในการดำเนินธุรกิจ และอาจจะส่งผลกระทบต่อคู่ค้า และธนาคารเจ้าหนี้ รวมถึงส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินดังกล่าวเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศ"
"ทั้งนี้ กลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขอให้พิจารณาใช้มาตรการค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็ก (Surcharge) กรณีที่ไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ด ตามที่ ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อวันที่ 10 ก.ค.58 ได้อนุมัติในหลักการให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ (Surcharge) สำหรับสินค้าเหล็กกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากมาตรการของรัฐ ตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 และจะเข้ายื่นหนังสือต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ภายในสัปดาห์นี้เพื่อชี้แจงความจำเป็นของการต่ออายุมาตรการเซฟการ์ด และความเสียหายของอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศกรณีไม่มีมาตรการ" นายนาวา กล่าว
ด้าน นายวรพจน์ เพียรอภิธรรม นายกสมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น ซึ่งเป็นสมาคมหลักที่เป็นผู้ใช้สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สมาชิกของสมาคมเป็นผู้ใช้สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีทั้งการนำเข้า และซื้อสินค้าในประเทศ และถึงแม้มีมาตรการเซฟการ์ด สินค้าในประเทศก็มีการปรับขึ้นลงตามสถานการณ์ตลาด และต้นทุนในการผลิต ไม่ได้ถือโอกาสปรับราคาอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งสมาชิกฯ ก็ยินดีสนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศ เพื่อให้ทั้งอุตสาหกรรมสามารถดำเนินธุรกิจ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ แต่หากภาครัฐไม่มีการบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดต่อไปในช่วงนี้ และเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิดไม่มีเวลาให้อุตสาหกรรมในประเทศได้เตรียมตัว (จะมีการพิจารณาในเดือนกุมภาพันธ์ และมาตรการจะหมดอายุวันที่ 26 ก.พ.62) เชื่อว่าอุตสาหกรรมเหล็กทั้งห่วงโซ่การผลิตต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
"เนื่องจากสินค้าที่จะไหลทะลักเข้ามา โดยเฉพาะจากจีนมีราคาต่ำมากผิดปกติจะส่งผลให้ ธุรกิจในอุตสาหกรรมปลายน้ำจะเกิดการชะงักงัน การทำธุรกิจชะลอตัว เนื่องจากผู้ผลิต และผู้ซื้อไม่มีความมั่นใจในราคาสินค้า ผู้ประกอบการต้องแบกภาระต้นทุนที่เกิดขึ้น และสุดท้ายต้องประสบกับภาวะขาดทุน เนื่องจากต้องลดราคาสินค้าตามราคาสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ไหลทะลักเข้ามา ดังนั้น สมาคมฯ ในฐานะผู้ใช้หลักขอสนับสนุนให้ภาครัฐขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดต่อไป 3 ปี หรืออย่างจนกว่าปัญหาสงครามทางการค้าจะยุติลง รวมถึงให้ผู้ประกอบการในประเทศสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังไม่มีมาตรการได้เสียก่อน"
นอกจากนี้ นายเชาวรัตน์ จั่นประดับ นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย และนายพงศ์เทพ เทพบางจาก นายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ร่วมให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สมาคมฯ สนับสนุนการขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดเช่นกัน เนื่องจากหากยุติมาตรการอย่างกะทันหันเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กทั้งห่วงโซ่การผลิตอย่างแน่นอน และสำหรับสมาชิกของสมาคมที่เป็นนักลงทุนต่างชาติจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ คาดว่าไม่น่าจะเกิดการขอชดเชย และการตอบโต้จากทั้ง 2 ประเทศอย่างแน่นอน เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศ เป็นสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เหล็กชั้นคุณภาพพิเศษ และเหล็กแผ่นรีดร้อนสำหรับการรีดเย็นต่อ ได้รับการยกเว้นมาตรการอยู่แล้ว จึงไม่กระทบใดๆ
ในมุมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวว่า เจตนารมณ์ของการขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดนั้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมภายในขณะดำเนินการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้า ดังนั้นการยุติมาตรการโดยให้เหตุผลว่าอุตสาหกรรมภายในไม่มีความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยในการขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นไปเพื่อป้องกันความเสียหายตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ จากปัญหาความรุนแรงของสงครามทางการค้าของสหรัฐ และจีนที่ยังคงมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยประเทศต่างๆทั่วโลกมีการใช้มาตรการเซฟการ์ด และมาตรการอื่นๆ คุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กของตน แต่ไทยกลับจะยุติมาตรการเซฟการ์ดซึ่งเป็นมาตรการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ การยุติมาตรการจึงเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาทบทวนอีกครั้งเพื่อให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยยังคงสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม นับเป็นอีกครั้งที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน และอุตสาหกรรมปลายน้ำได้ซึ่งเป็นผู้ใช้หลักได้ออกมาให้ความเห็นที่สอดคล้องกันเช่นนี้ ว่าการยุติมาตรการเซฟการ์ดจะเป็นการสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมเหล็กทั้งห่วงโซ่การผลิต ไม่ใช่เฉพาะผู้ผลิตสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเท่านั้น ดังนั้น จึงขอความกรุณาคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องทบทวนผลการพิจารณาเพื่อให้อุตสาหกรรมเหล็กไทย และเศรษฐกิจไทยในภาพรวมสามารถเดินหน้าต่อไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี