นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ว่า ภาคเอกชนมีความกังวลเรื่องค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าในช่วงครึ่งปีแรกโดยตั้งแต่ต้นปี 2562 จนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.4% แข็งค่ามากสุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค มาอยู่ที่ 31.31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากปลายปี 2561 อยู่ที่ 32.32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็นรองเพียงค่าเงินรูเปียะของอินโดนีเซียที่แข็งค่าขึ้น 3.7% เนื่องจากขาดแรงหนุน หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณถึงโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดทอนลง หากเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยทั้งปี
“หากเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ในกลุ่มสินค้าเกษตรและการค้าชายแดนที่อยากให้มีการซื้อขายด้วยเงินบาทจะดีที่สุด ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอย่างมีนัยคงต้องหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อย่างเป็นทางการเพื่อให้มีมาตรการดูแลออกมามากขึ้น ระดับที่เอกชนรับได้คืออยู่ในช่วง 31.50-32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และอีกประเด็นที่ภาคเอกชนเป็นห่วง คือ ไม่อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกตลอดทั้งปีนี้ ให้คงอยู่ที่ 1.75% หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกมาแล้วเช่นกัน” นายสุพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ กกร.ยังประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดจะขยายตัวได้ในกรอบประมาณการที่ 4-4.3% จากปี 2561 ที่ผ่านมา น่าจะขยายตัวได้ 4.1% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.3% เพราะเศรษฐกิจไตรมาส 4/2561 ถูกกระทบจากการส่งออกและการลงทุนภาครัฐ ส่วนการส่งออกปีนี้คาดจะขยายตัว 5-7% ชะลอลงจากปีก่อนโต 6.7% เงินเฟ้อคาดอยู่ที่ 0.8-1.2% จากปีก่อนโต 1.1% แม้ปีนี้มองว่าจะยังมีแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนยังรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ดี แต่ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากผลกระทบสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง
นายสุพันธ์ย้ำว่ากกร.ยังต้องติดตามสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลการเลือกตั้งทั่วไปและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และความไม่แน่นอนเรื่องแผนการนำประเทศอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ตลอดจนทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เพื่อประเมินผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจไทยอย่างใกล้ชิด
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หนึ่งในคณะกรรมการหลักของธปท. แถลงผลการประชุมกนง.เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ว่ากรรมการมีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี ซึ่งอีก 2 เสียง เห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.00% ต่อปี ส่วนกรรมการ 1 คน ลาประชุม โดย กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าภาคการส่งออกสินค้าจะชะลอลงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง ผลของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ
พร้อมกันนี้จะต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่างๆ ที่สร้างความเปราะบางกับเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 77.7% เพิ่มเป็น 77.8% ในไตรมาส 3/2561 พบว่ามาจากการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อรถยนต์
ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นกนง.ได้ติดตามใกล้ชิด สาเหตุหลักมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ทำให้ค่าเงินในประเทศเกิดใหม่แข็งค่าขึ้น โดยเงินบาทไทยตั้งแต่สิ้นปี 2561 จนถึงปัจจุบัน (YTD) แข็งค่า 4.1% ซึ่งอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เป็นเงินสกุลที่เเข็งค่าที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม ธปท. พร้อมติดตามใกล้ชิด หากพบความผิดปกติจะเข้าไปดูแล เพราะค่าเงินบาทมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อและภาพรวมเศรษฐกิจเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี