สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 2562 เผยไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ที่สำคัญ โดยมีจำนวนนักเดินทางไมซ์ในและต่างประเทศรวมกว่า 6,653,524 คน สร้างรายได้กว่า 42,525 ล้านบาท ด้านไมซ์ต่างประเทศกลุ่มธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติขยายตัวก้าวกระโดด ขณะที่จีนยังครองอันดับหนึ่งของนักเดินทางกลุ่มไมซ์ที่มาไทยมากที่สุด
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ ทีเส็บ เปิดเผยถึงผลตัวเลขตลาดไมซ์ต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. - ธ.ค. 2561) ว่า มีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์เดินทางเข้ามายังประเทศไทย 241,407 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.48 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางมายังประเทศไทยทั้งหมดในไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2562 สร้างรายได้ให้ประเทศไทยรวม 18,031 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ค่าที่พัก ค่าอาหารและเครื่องดื่ม และค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก
“กลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนนักเดินต่างประเทศขยายตัวอย่างน่าสนใจ คือ การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ (Exhibitions) ขยายตัวร้อยละ 60.66 อันเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ โดยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี และความเชื่อมั่นของนักเดินทางกลุ่มไมซ์ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากการเร่งทำการตลาดของหน่วยงานภาครัฐและการดำเนินการกระตุ้นการเดินทางของภาคเอกชน มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival ที่เริ่มมีผลเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาซึ่งเอื้อต่อการเดินทางมาประเทศไทยของกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ อาทิ จีน อินเดีย มาเลเซีย เป็นต้น รวมถึงบรรยากาศภายในประเทศที่เอื้อต่อการเดินทางการเปิดเส้นทางการบินจากประเทศในกลุ่มอาเซียนมาไทยมากขึ้น และความสามารถบริหารจัดการของสายการบินและสนามบินที่ส่งผลให้ท่าอากาศยานหลักสามารถรองรับนักเดินทางได้ดีขึ้นด้วย”
จากข้อมูลพบว่านักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศสูงสุด 5 อันดับ ล้วนเป็นนักเดินทางธุรกิจจากเอเชีย ได้แก่ จีน 85,498 ราย ลาว 29,547 ราย มาเลเซีย 21,352 ราย อินโดนีเซีย 21,051 ราย และญี่ปุ่น 19,205 ราย ซึ่งนักเดินทางไมซ์จากภูมิภาคเอเชียมีความสำคัญหรือมีสัดส่วนสูงที่สุดของกิจกรรมไมซ์นานาชาติทุกประเภทที่จัดในประเทศไทย เหตุผลสำคัญ คือ เทรนด์โลกด้านการเดินทางเป็นการเดินทางระยะสั้นภายในภูมิภาค ประเทศเพื่อนบ้านใช้เวลาเดินทางมาไทยน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคอื่นๆ และมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการขาย อาทิ การยกเลิกค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา เป็นต้น
ด้านจำนวนการจัดงานไมซ์นานาชาติในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 275 งาน จำแนกเป็นการประชุมสัมมนา (Meetings) 37 งาน การจัดงานอินเซนทิฟหรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) 153 งาน การประชุมนานาชาติ (Conventions) 16 งาน และการจัดงานแสดงสินค้า (Exhibitions) 19 งาน โดยการจัดอินเซนทิฟให้กับพนักงานขององค์กร มีจำนวนงานสูงสุดมากกว่าครึ่งหนึ่งของการจัดงานทั้งหมด ด้านความนิยมจัดกิจกรรมไมซ์ในประเทศไทยของต่างชาตินั้นนับได้ว่า ภาคกลาง เป็นสถานที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดงานไมซ์นานาชาติทุกประเภท โดยมีการจัดงานคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 82.18 โดยเฉพาะที่กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพราะศูนย์ประชุม โรงแรมสำหรับการประชุมหรือการจัดแสดงสินค้าหรือนิทรรศการที่มีขนาดใหญ่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนและได้มาตรฐานสากล ซึ่งหลายแห่งได้รับการรับรอง Thailand MICE Venue Standard (TMVS) มีห้องประชุมสัมมนาหลายขนาดที่เหมาะสมสำหรับการจัดประชุมทุกขนาดและทุกระดับ รวมถึงความสะดวกด้านการเดินทาง ตลอดจนกิจกรรมในการพักผ่อนหย่อนใจภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการประชุม รองลงมาเป็น ภาคใต้ ที่มีสัดส่วนร้อยละ 9.09 และภาคเหนือ ร้อย ละ 6.18
ด้านข้อมูลตลาดไมซ์ในประเทศ มีนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศเดินทางในไตรมาสแรกจำนวน 6,412,117 ราย ก่อให้เกิดรายได้ 24,494 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีนักเดินทางไมซ์ในประเทศสูงสุดตามลำดับ 5 อันดับ ได้แก่ กรุงเทพ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และขอนแก่น
นายจิรุตถ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลงานเด่นในการส่งเสริมการตลาดและพัฒนาธุรกิจไมซ์ตามนโยบายรัฐบาลในไตรมาสแรกภายใต้ 3 เป้าหมายยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้
การสร้างรายได้ เช่น การสนับสนุนการจัดงาน และประมูลสิทธิงานไมซ์ต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย (Event Support/Subsidy and Bidding) ทั้งสิ้นจำนวน 119 งาน โดยสนับสนุนงานเด่น เช่น การประชุมสัมมนาของกลุ่มอินเซนทิฟ ประเทศจีน 2018 Sunhope Thailand Incentive Group นำนักธุรกิจขายตรงของจีนมาร่วมกว่า 10,000 คน การประชุมนานาชาติ BNI Global Convention 2018 ของสมาชิกจากทั่วโลกกว่า 4,000 คน โดยตลอด 30 ปีที่ผ่านมางานประชุมนี้จัดขึ้นที่อเมริกา แต่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเป็นประเทศแรก เพราะศักยภาพของประเทศและนักธุรกิจไทย รวมถึงงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและการประชุมพลังงานเพื่ออนาคตแห่งเอเชีย Future Energy Asia 2018 ที่มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 8,000 คน
การกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เช่น การสนับสนุนการจัดงาน ยกระดับงาน และสร้างงานไมซ์ในประเทศไทย (Event Support/Subsidy and New Event) ทั้งสิ้นจำนวน 9 งาน เช่น การสนับสนุนการจัดประชุมวิชาการสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ครั้งที่ 33 และการประชุมสามัญประจำปี 2561 ของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย จ. ชลบุรี การยกระดับงานเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” เพื่อกำหนดตำแหน่งยุทธศาสตร์ไมซ์ซิตี้จังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการเรียนรู้ด้านการบริการจัดการเป็นเลิศ ศูนย์รวมโครงการหลวงของภาคเหนือ และการสร้างงานแสดงสินค้าใหม่งานข้าวหอมมะลิโลก RICE Expo 2018 จ. ร้อยเอ็ด รวมถึงการขยายการส่งเสริมตลาดไมซ์ในประเทศและขยายตลาดในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS/CLMV/SEZ) จำนวน 8 งาน เช่น การจัดประชุมสัมมนาของบริษัทประกัน Prudential ประเทศเวียดนาม และการจัดประชุมสัมมนาของผู้ผลิตสินค้าปุ๋ย Armo Fertilizer ประเทศเมียนมาร์ เป็นต้น
การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม เช่น การจัดประชุมมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียนครั้งที่ 7 โดยมีผู้แทนจากสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม 7 ประเทศ การจัดสัมมนาด้านข้อมูลและนวัตกรรมไมซ์ MICE Intelligence and Innovation Conference สร้างความรู้ความเข้าใจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมไมซ์ และการอำนวยความสะดวกการเข้าเมืองของนักเดินทางไมซ์เข้าสู่ประเทศไทยจำนวนถึง 45 งาน (MICE Lane) เป็นต้น
ด้านแผนงานต่อเนื่องในปีนี้ ทีเส็บยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจไมซ์ตามยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลที่สอดคล้องกับการดำเนินงาน 2 ยุทธศาสตร์ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางบริหารงานไมซ์แบบบูรณาการอย่างเท่าเทียมและโปร่งใส โดยมียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายและเชื่อมโยงการพัฒนาไมซ์ในทุกระดับกระจายไมซ์สู่ภูมิภาคทั่วทุกพื้นที่ วางยุทธศาสตร์ด้านพื้นที่ในเมืองหลักไมซ์ซิตี้ (กรุงเทพ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น) และกระจายไมซ์สู่เมืองรองทั่วประเทศ พร้อมตอบโจทย์ด้วย 8 ไฮไลท์โครงการไมซ์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
พัฒนา 25 เส้นทางไมซ์ใน 5 เมืองไมซ์ซิตี้ และกระจายสู่เมืองรองอีก 5 เมือง รวมพัฒนาเส้นทางไมซ์ไม่ต่ำกว่า 50 เส้นทาง ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) อพท. และผู้ประกอบการสถานที่จัดงานทั่วประเทศพัฒนาการศึกษาไมซ์ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการเครือข่ายการศึกษาไมซ์ ร่วมกับสถาบันการศึกษาหลักใน 5 ภูมิภาค
ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยดุสิตธานี
พัฒนาโมเดลและแผนงานหลักไมซ์ซิตี้ 5 เมือง ร่วมกับจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน โครงการไมซ์เพื่อชุมชน ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ขยายความร่วมมือกับสหกรณ์จาก 30 แห่ง ให้เป็น 100 แห่ง ส่งเสริมให้สหกรณ์เป็นสถานที่จัดประชุมสัมมนา และเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มองค์กรภาครัฐและเอกชนร่วมทำกิจกรรมไมซ์สร้างเศรษฐกิจกระจายรายได้ให้กับชุมชนโครงการแข่งขันโปรโมทไมซ์ภูมิภาค ร่วมกับ สถาบันการศึกษาของผู้บริหารระดับสูงจากทุกภาคส่วน หน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐ เอกชนและกิจการเพื่อสังคม ตลอดจนเครือข่ายมหาวิทยาลัยโครงการส่งเสริมการตลาดเพิ่มจำนวนงานไมซ์ภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรมของรัฐบาล ร่วมกับภาครัฐและเอกชน รวมถึงไทยทีมธุรกิจไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ เช่น สถานทูต ททท. สมาคม สมาพันธ์ หอการค้า สายการบิน เช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ เป็นต้นโครงการพัฒนาข้อมูลอัจฉริยะและนวัตกรรมไมซ์ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เป็นต้นโครงการประชุมรับฟังการส่งเสริมธุรกิจไมซ์ด้วยคุณธรรมและความโปร่งใสของทีเส็บ ร่วมกับภาคเอกชนธุรกิจไมซ์
“ภายใต้แผนการดำเนินงานและโครงการหลักในปี 2562 เจาะทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของทีเส็บ คาดว่าในปีนี้ประเทศไทยจะมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 35,982,000 คน และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ประมาณ 221,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศประมาณ 1,320,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศได้ 100,500 ล้านบาท นักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศประมาณ 34,662,000 คน สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ 121,000 ล้านบาท” นายจิรุตถ์ กล่าวโดยสรุป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี