nn ณ วันนี้ การเจรจาเงื่อนไขพิเศษโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน....ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ทางตัน ซึ่งมีศัพท์ภาษาฝรั่งเศสว่า Cul de Sac (คัล เดอ แซค) คือ สุดทางตันเป็นลานวงกลมเพื่อให้รถเลี้ยววกกลับมาได้ เพื่อไปหาทิศทางใหม่ หรือไปเริ่มต้นกันใหม่ เพื่อบรรลุหนทางหรือเป้าหมาย ซึ่งนั่นอาจหมายถึง การต้องตัดสินใจประมูลใหม่ ถ้าเกิดทั้งซีพี และ บีทีเอส รับความเสี่ยงจากทีโออาร์ที่มีหลายส่วนแตกต่างจากมาตรฐานสากล การย้อนออกมาทางเก่า เพื่อทบทวนทีโออาร์ ก็อาจเป็นทางเลือกเพื่อทำโครงการนี้ให้สำเร็จ
วิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อหลายสำนัก ทีโออาร์ ดูเหมือนว่า เป็นการรวบรวมการศึกษาจากทีโออาร์ในหลายๆ ประเทศ ที่รวมข้อดี ที่ทำให้รัฐได้เปรียบ แต่พอนำมารวมๆ กันแล้ว ก็ทำให้ความเสี่ยงส่วนใหญ่จะตกไปอยู่กับผู้เข้าร่วมประมูล ทำให้นักลงทุนจากต่างประเทศไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น หรือยุโรปต่างถอยไปตั้งหลัก ดัน“ซีพี”มายืนข้างหน้า เจรจาต่อรองลดความเสี่ยงกับรัฐ แต่หากซีพีเจรจาไม่สำเร็จแล้วรับไปทำ ก็อาจได้ชื่อว่าช่วยชาติและแบกความเสี่ยงไปเอง แต่ก็มีโอกาสกระอักเลือดในภายหลัง
งานนี้ก็น่าเห็นใจทุกฝ่าย เพราะต่างล้วนปรารถนาดีมาช่วยประเทศ แต่หากทีโออาร์ฉบับนี้หาทางออกไม่ได้จริงๆ ก็คงไม่เสียเวลามากหากจะลองพิจารณา การย้อนไปออกทางเข้า และได้มาซึ่งทีโออาร์ใหม่ ที่เป็นสากล!!
“ถึงเวลาต้องเลือก!!!รัฐออกเงินน้อย เอกชนกู้เงินเยอะ!!หรือ รัฐออกเงินเยอะ เอกชนกู้เงินน้อย!!.....คำอธิบายง่ายๆของผู้เข้าแข่งขันสองราย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีการประมาณการการลงทุนอยู่ที่ 224,544 ล้านบาทโดยซีพีเลือกให้รัฐออกเงินน้อย....คือที่ 117,227 ล้านบาท ทำให้ซีพีต้องกู้เงินมาทำโครงการถึง 107,317 ล้านบาท.....ในขณะที่บีทีเอส เลือกทางเลือกที่สองคือ ให้รัฐออกเงินเยอะ ทำให้ภาระเอกชนที่ต้องกู้เงินน้อย โดยบีทีเอส เสนอให้รัฐออกเงินอุดหนุนที่ 169,934 ล้านบาท เกินกว่ากรอบวงเงินสูงสุดที่รัฐอนุมัติ ทำให้บีทีเอสต้องกู้จากธนาคารอยู่ที่ 54,610 ล้านบาท
แล้วสองทางเลือกต่างกันอย่างไร คือหากรัฐอยากออกเงินสนับสนุนต่ำสุด ก็ต้องช่วยสนับสนุนเงื่อนไข เพื่อลดความเสี่ยงโครงการ เพื่อได้ดอกเบี้ยที่ดี และ ร่วมการันตีความสำเร็จโครงการ เอกชนก็จะสามารถกู้เงินธนาคารเป็นแสนล้านบาทได้ !!!.... แต่ถ้ารัฐเลือกออกเงินมาก โดยรัฐออกเองถึงกว่า 1.7 แสนล้าน เอกชนกู้เองเพียงแค่ 5.4 หมื่นล้าน ปัญหาจากการกู้เงินก็จะน้อยกว่ามาก โดยเมื่อกู้ไม่มาก ธนาคารก็ไม่ต้องการหลักประกันมากนัก เงื่อนไขก็อาจน้อยกว่า แต่รัฐก็แค่ต้องออกเงินมากกว่า
!! สิ่งสำคัญที่ทำให้การเจรจายึดเยื้อคือ รัฐจะเอาราคาต่ำด้วย แต่ก็ไม่ร่วมรับความเสี่ยง ทำให้ในมุมมองธนาคาร เอกชนรับความเสี่ยงสูงมาก จึงยากในการหาแหล่งทุน เพราะเมื่อประเมินความสำเร็จโครงการกับความเสี่ยงแล้ว แหล่งเงินทุนและพันธมิตรที่มาร่วมลงทุนต่างหนักใจ เพราะหากคิดว่าจะไปตายเอาดาบหน้า คงจะซ้ำรอย “โฮปเวลล์”...สู้เอาความเป็นไปได้โครงการเป็นที่ตั้งจะดีที่สุดจะดีกว่าไหม...???
ต้องมาลุ้นกันว่า การเจรจาจะจบลงอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ การเจรจา คือการหาทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย ไม่ใช่หาผู้แพ้ หรือผู้ชนะ แต่ถ้าจบไม่ลงจริงๆ การมาเจอกันที่ตรงกลาง
ก็อาจเรียกว่าเป็นทางออกสำหรับทุกฝ่าย!!....
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี