นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงานเปิดเผยว่ากระทรวงพลังงานได้มอบหมายกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เร่งรัดดำเนินการเปิดประมูลสำรวจและผลิตแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยโดยมีแผนเปิดให้บริษัทเอกชนที่สนใจเสนอตัวเข้าขอรับสิทธิสำรวจและผลิตแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ที่นำเข้าจากต่างประเทศในราคาสูง ช่วยประหยัดเม็ดเงินทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศถึงแม้จะมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศก็เชื่อว่าจะสามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่องทันที
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้ลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับบริษัทปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับบริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทย หมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ปี 2565 และบริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยหมายเลข G2/61 (แหล่งบงกช) ปี 2566 เป็นการยืนยันถึงความมั่นคงด้านพลังงานของไทยจะมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าวันละ1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ได้ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี
“รัฐยืนยันว่าพลังงานใหม่จะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงอยู่ที่ประมาณ 4 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จากเดิมราคาประมาณ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งไม่เพียงส่งผลให้ค่าไฟจะไม่แพงขึ้นกว่าในปัจจุบันแล้วแต่ยังทำให้ค่าไฟปรับลดลงได้อีกประมาณ 15-20 สตางค์ต่อหน่วย อยู่ที่ 3.4 บาทต่อหน่วย จากเดิมราคาอยู่ที่ 3.6 บาทต่อหน่วย” นายศิริกล่าว
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2018) เป็น 53% จาก 30% เพื่อเป็นหลักประกันว่าประเทศไทยและประชาชนจะมีก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปิโตรเลียมในประเทศใช้อย่างต่อเนื่องในราคาไม่แพง รวมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานเป็นฐานพัฒนาระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(ปตท.สผ.) กล่าวว่าหลังจากที่ได้รับทราบผลการประมูล บริษัทก็ได้เตรียมทีมงานและงบประมาณไว้แล้วบางส่วน ในการทำแผนเพื่อยื่นต่อกระทรวงพลังงานภายใน 45 วัน ถึงการดำเนินงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้ง 2 แหล่ง คาดการณ์ว่าจะต้องใช้งบประมาณกว่า 1 ล้านล้านบาท ในการดำเนินงานตลอดแผน 10 ปี แบ่งเป็นแหล่งบงกชประมาณ 300,000-400,000 ล้านบาท และแหล่งเอราวัณ 600,000-700,000 ล้านบาทเงินทุนทั้งหมดมาจากเงินสำรองของบริษัทและรายได้ที่เข้ามาในแต่ละปีเพื่อที่จะใช้บริหารจัดการ
“เรายังมีกระแสเงินสดพอ จึงไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาใช้ ทั้งนี้ในอนาคตก็มีแนวคิดที่จะให้บริษัทอื่นๆ เข้ามาร่วมดำเนินการในแหล่งใดแหล่งหนึ่งร่วมด้วย แต่เรื่องดังกล่าวยังต้องผ่านคณะกรรมการ(บอร์ด) และผู้ถือหุ้นของบริษัทก่อน” นายพงศธร กล่าว
ขอยืนยันว่าการยื่นประมูลครั้งนี้ ได้ทำการศึกษาในทุกภาคส่วนอย่างละเอียดแล้ว พร้อมทำความเข้าใจด้วยว่ารัฐบาลจะต้องการได้ราคาที่ถูกที่สุด จึงยื่นข้อเสนอในราคาขายก๊าซธรรมชาติ 116 บาทต่อล้านบีทียู อาจทำให้กำไรของแต่ละหน่วยลดลง แต่มั่นใจว่ากำลังการผลิตรวมที่ได้รับจากการดำเนินงานทั้ง 2 แหล่งนั้นจะทำให้กำไรโดยรวมของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบยืนยันว่าราคาที่เสนอไปถือว่าเหมาะสม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี