วงดีเบต‘ดิจิทัล’คึก พรรคการเมืองจวก‘ดีอี’ไร้ประสิทธิภาพ มุ่งแก้กม.-ยกระดับสตาร์ทอัพ
28 ก.พ.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนพรรคการเมืองได้ร่วมดีเบต นโยบายดิจิทัล ซึ่งจัดโดยชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “Digital Economy” ชูแนวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ โดยมีอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อย่าง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ จากพรรคเพื่อไทย , นายจุติ ไกรฤกธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ และตัวแทนจากพรรคอื่น ประกอบด้วย นายไกลก้อง ไวทยากร พรรคอนาคตใหม่ , นายฤภพ ชินวัตร พรรคไทยรักษาชาติ ,นายณัฐพงษ์ รอบคอบ พรรคพลังท้องถิ่นไท เข้าร่วมดีเบต
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาไอทีสำหรับประเทศไทยคือความไว้วางใจ อุตสาหกรรมดิจิทัลจะประสบความสำเร็จได้ถ้ามีความเชื่อมั่นในระบบ ถัดมาคือความปลอดภัยไซเบอร์ และการบังคับกฎระเบียบกฎหมายซึ่งเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย นโยบายดิจิทัลของพรรคคือใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาปากท้องของคน เอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การแก้ปัญหาสินค้าขายได้น้อยด้วยการเอาเทคโนโลยีมาเชื่อมโยงคนซื้อกับคนขาย ใช้ไอทีมาช่วยคนธรรมดาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม ใช้เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาเช่นปัญหาของสังคม เช่น ปัญหาการจราจร พรรคมองว่าการบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ การใช้เทคโนโลยียกระดับบริการภาครัฐ พรรคให้ความสำคัญที่จะให้ คน ใช้เทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพชีวิต
นายไกลก้อง กล่าวว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมดิจิทัลน่าจะได้แก่กฎหมายที่ทำให้ผู้ลงทุนยังไม่กล้าเข้ามาลงทุน สองปีที่ผ่านมามีการตื่นตัวในการส่งเสริมสตาร์ทอัป แต่สตาร์ทอัพไทยยังขาดนักพัฒนาที่จะมาสนับสนุนทำให้บริษัทสตาร์ทอัพไทยเป็นยูนิคอร์นไปไม่ถึงระดับโลก นอกจากนี้มีความจำเป็นต้องเตรียมตัวรับการมาของปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่จะมาแทนแรงงานมนุษย์ ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอีกเรื่องคือ การพัฒนา digital singles market ของอาเซียนน่าจะเกิดขึ้นเหมือนกับยุโรปมี มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะที่อาเซียนจะมีความร่วมมือกัน เช่น การกำหนดอัตราค่าบริการโทรคมนาคมเป็นอัตราเดียวในการใช้งานในภูมิภาค
นโยบายของพรรค ต้องการขยายเครือข่ายสายไฟเบอร์ไปตามแนวสายไฟฟ้า เร่งการพัฒนา 5G ขยายฟรีไวไฟให้เอกชนมาให้บริการด้วยการสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าเปิดฟรีไวไฟ นำคลื่นความถี่ที่ไม่ได้ใช้งาน เปิดโอเพ่นดาต้าภาครัฐ เปิดข้อมูลสร้างดาต้าอีโคโนมี่ นำข้อมูลมาขยายมูลค่าทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการศึกษาทดแทนการขาดแคลนเทคโนโลยี การแก้ไขกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคล การแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปฎิรูปองค์กรบังคับใช้กฎหมายเทคโนโลยีทั้งตำรวจไซเบอร์และองค์กรกำกับ เปิดข้อมูลที่มีความสำคัญและมีมูลค่าของภาครัฐให้ประชาชนและสตาร์ทอัปใช้พัฒนาและสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศน์ในการใช้ดาต้าเพื่อการพัฒนา
ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่เน้นการกระจายอำนาจให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยงบประมาณต้องแบ่งส่วนกลางกับชุมชน เท่ากัน ไม่ใช่ แบ่งให้ส่วนกลาง 70% การมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านออนไลน์ ทุกกระทรวงต้องมีการพัฒนาซีไอโอ เพื่อให้ทำงานร่วมกับพีอาร์เพื่อให้รัฐที่จะตัดสินใจทำโครงการต้องมีส่วนร่วมจากประชาชน และศูนย์ดิจิทัลชุมชน ยังต้องเป็นศูนย์การเรียนรู้ทางไกลด้วย
ส่วนนายฤภพ กล่าวว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยน่าจะได้แก่ช่องว่างการเข้าถึงเทคโนโลยีที่คนรากหญ้ายังมีช่องว่างในการเข้าถึง กฎหมายหรือระเบียบทางด้านดิจิทัลไปมุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงมากกว่าการส่งเสริม คนไทยมีความสามารถแต่ขาดการส่งเสริมถ้ามีทรัพยากรที่ทุกคนสามารถใช้งานร่วมกันได้น่าจะช่วยในการพัฒนาได้ดีขึ้น สิ่งที่พรรคอยากทำถ้าเป็นรัฐบาลคือเอาเทคโนโลยีมาทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนทำให้มีสมาร์ทซิติเซนต์ คนสามารถใช้แอปพลิเคชั่นช่วยให้คนรับบริการภาครัฐได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเรียนได้จากทุกทีโดยเชิญครูที่มีความรู้ที่เกษียณอายุไปแล้วมาสอน ทำแอปพลิเคชันและบริการที่ยกระดับเมืองให้เป็นสมาร์ทซิตี้จริงๆ ถ้าทำให้คนเข้าถึงทรัพยากรที่มีอยู่ง่ายขึ้น
“มองปัญหาเรื่องเทคโนโลยีไปที่รากหญ้า คนเข้าถึงเทคโนโลยีจริงๆมีแค่ กทม ปริมณฑลและหัวเมืองใหญ่ๆแต่ชาวบ้านเข้าไม่ถึง แค่อินฟาให้ประชากรใช้เน็ตได้ยังไม่ทั่วถึงเลย นักเรียนทุกคนยังไม่สามารถมีคอมพพิวเตอร์หรือเน็ตใช้งานได้ เรื่องกฎหมาย พรบ.คอมฯ และไซเบอร์มุ่งเน้นไปที่ความมั่นคง ซึ่งมันไม่ได้เอื้อให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน พรบ.น่าจะทำให้เอื้อต่อเอกชนมากกว่านี้ ขณะที่สตาร์ทอัป คนไทยเก่งแต่ขาดการลงทุน ถ้าเราสร้างแชร์ริ่งและใช้รีสอร์ทเดียวกันได้ก็จะดีมาก” นายฤภพ กล่าว
ส่วนนายจุติ กล่าวว่า เรื่องใกล้ตัวที่สุดคือการยกระดับกระทรวงดีอี ทั้งในแง่ของกฎหมายและระเบียบให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนของเอกชน ส่วนกฎระเบียบในการดูแลความมั่นคงไซเบอร์ควรเป็นกฎหมายที่เคารพสิทธิของคนมากขึ้นกว่าเรื่องความมั่นคง นอกจากนี้เครือข่ายสารสนเทศที่มีอยู่ต้องควรใช้งานให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ พรรคมองว่าการพัฒนาไอทีจะทำได้ต้องปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค พัฒนาศูนย์ไอซีทีชุมชน ต้องจ้างเด็กที่มีประสบการณ์มาช่วยพัฒนาทักษะของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะและความรู้ทางด้านไอที สร้างเครือข่ายสื่อสารและคมนาคมให้เชื่อมโยงกันได้ โดยกระทรวงดีอีจะต้องปรับปรุงการใช้งบประมาณให้เหมาะสม
นายจุติ ระบุว่า สิ่งที่พรรคจะทำในลำดับแรกคือใช้เทคโนโลยีพัฒนาคนเปิดหลักสูตรออนไลน์ จ้างงาน 10,000 ตำแหน่ง ในศูนย์ไอซีทีชุมชนให้ครบ 10,000 หมู่บ้าน และแก้กฎหมายที่เป็นข้อจำกัดในการเอาเทคโนโลยีมาใช้ทำงาน ส่งเสริมให้เกิดเทคโนโลยี 5G โดยการจัดสรรคลื่นให้ความสำคัญกับบริการที่ประชาชนจะได้มากกว่าการประมูลคลื่นราคาแพงต้องนี้ก็ต้องแก้กฎหมายเช่นกัน ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทำงานล้มเหลว
ขณะที่นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมดิจิทัลน่าจะได้แก่ปัญหาความไม่เข้าใจ ความไม่เป็นเอกภาพในการใช้งานเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ความไม่เข้าใจของผู้บริหารที่กำหนดนโยบายไอทีที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเช่น ความพยายามจัดเก็บรายได้จากการทำอีคอมเมิร์ซ อาจทำให้การทำธุรกิจไม่ราบรื่น นโยบายไอทีของพรรคคือการปลดผู้บริหารสูงสุดทางด้านไอทีที่ไม่มีคุณภาพ บูรณาการระบบการทำธุรกรรมให้มีเอกภาพ ยุบแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นให้เหลือแค่แอปพลิเคชันเดียว เป็นไทยแลนด์แอปพลิเคชัน ส่งเสริมสตาร์ทอัปให้ไปถึงระดับโลก ใช้งานศูนย์ไอซีทีชุมชนให้เป็นศูนย์โอท็อปและฝึกอาชีพ และบูรณาการทางการค้า 24 ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี