เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.)พร้อมคณะเข้าพบนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อหารือถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
น.ส.กัณญภัคกล่าวว่า สรท.ได้ขอให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวทิศทางเดียวกันกับภูมิภาค แต่หากอ่อนค่าลงได้มากกว่าภูมิภาค จะทำให้ผู้ส่งออกคลายความกังวลและช่วยให้สามารถบริหารต้นทุนง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้เงินบาทอ่อนค่ามาแล้ว 50-60 สตางค์ ก็ช่วยให้สบายใจขึ้น ปกติสรท.จะหารือกับ ธปท.ถึงภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน ทุกๆ 6 เดือน จากการหารือในครั้งนี้ทราบสาเหตุเงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า
อย่างไรก็ตาม ยอมรับค่าเงินบาทปีนี้ผันผวนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าและอ่อนค่าจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยัง
ไม่ชัดเจน ซึ่งมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ติดลบต่อเนื่อง จึงกังวลว่าการส่งออกปีนี้จะโตต่ำกว่า 5% ต่ำกว่าที่สรท.คาดการณ์ไว้ โดยจะต้องดูตัวเลขการส่งออกในช่วงไตรมาส 1/2562 ก่อนว่าเป็นอย่างไร และจากนั้นจะทำการทบทวนเป้าส่งออกปีนี้ใหม่อีกครั้ง
“ค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ยังยอมรับได้ เพราะต้องมองทิศทางในระยะยาวมากกว่า ซึ่งหลังจากได้ข้อมูลจาก ธปท.แล้ว
ก็เข้าใจ เพราะ ธปท.ดูแลหลายภาคส่วน” น.ส.กัณญภัค กล่าว
ทั้งนี้จะเน้นย้ำให้สมาชิกประกันความเสี่ยงและให้ค้าขายเป็นเงินสกุลท้องถิ่น เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ผันผวน ซึ่งปัจจุบัน ธปท.เปิดให้ค้าขายต่างประเทศด้วยเงินสกุลท้องถิ่น 4 สกุล ประกอบด้วย เงินหยวนของจีน เยนของญี่ปุ่น รูเปียห์ ของอินโดนีเซีย และริงกิตของมาเลเซีย พร้อมกันนี้ สรท.อยากเห็นการค้าขายเป็นเงินสกุลภูมิภาคอาเซียนอื่นๆ มากขึ้น เพราะสัดส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปอาเซียนมีสูงเกือบ 25%
ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์รายงานภาพรวมการส่งออกในช่วงเดือนมกราคม 2562 ที่ผ่านมาพบว่ามีมูลค่า 18,993.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดลบ 5.65% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร สร้างความกดดันให้การค้าการส่งออกทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยส่งออกติดลบอย่างต่อเนื่อง และอาจจะลดลงไปทั้งไตรมาสแรกนี้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกลดลงตาม รวมถึงความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศอื่นๆ ทำให้ราคาสินค้าในกลุ่มเกษตรกรรมมีราคาสูง โดยเห็นได้ชัดในสินค้าข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ไก่ อาหารทะเล ของไทย มีราคาสูงกว่าคู่แข่ง จึงหันไปซื้อของประเทศอื่นที่มีราคาต่ำกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี