ll ถ้ายังจำได้ว่าเมื่อหน้าฝนที่ผ่านมานี้กรมชลประทานต้องระบายน้ำทุกเขื่อนทิ้งท่วมไร่นาบ้านเรือนของประชาชน....นี่ยังจะไม่ทันเข้าฤดูแล้ง..กรมชลประทานประกาศแล้วว่าประเทศไทยจะไม่มีน้ำพอใช้...สำหรับภาคเกษตรกรรมพืชที่ใช้น้ำน้อยเท่านั้นที่ทำได้...ส่วนนาปรัง ไม่สามารถทำในรอบที่ 3 แม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แม้จะเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำหลักของประเทศก็ตาม...
มีคำถามว่า....บริหารจัดการน้ำกันอย่างไร???? ซึ่งเป็นคำถามที่เกิดขึ้นทุกปี...เพราะหน้าฝนน้ำเยอะเก็บไว้ไม่ได้ต้องปล่อยทิ้ง พอถึงหน้าแล้งก็ขาดน้ำ...เป็นปัญหาซ้ำซากอย่างนี้ทุกปี....และสิ่งที่เห็นวิธีการแก้ปัญหาของภาครัฐคือ...ขอร้องชาวนาไม่ให้ปลูกข้าว....ขอร้องชาวไร่ไม่ให้เพาะปลูก...เวรกรรม...ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกร...ไม่ให้เพาะปลูก..แล้วจะให้ไปทำอะไรกิน??????
เห็นข้อมูลจาก บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ที่ระบุว่า....ฤดูแล้งปี 2562 อาจลากยาวจนถึงเดือนพฤษภาคม 2562 สร้างความเสียหายต่อผลผลิตข้าวนาปรังและอ้อยเป็นหลัก... โดยภัยแล้งที่เกิดขึ้นนอกจากจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิตแล้ว ยังอาจไม่ได้เป็นปัจจัยผลักดันราคาข้าวและอ้อยได้อย่างมีนัยสำคัญ เพียงแต่อาจช่วยประคองราคาไว้ได้บ้างระยะสั้น ท่ามกลางภาวะที่คู่แข่งในตลาดข้าวและอ้อยรุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อรายได้เกษตรกรปี 2562 หดตัว 1.2-1.6% จากผลของแรงฉุดด้านผลผลิต ทั้งนี้ คาดว่าราคาข้าวเฉลี่ยปี 2562 อาจอยู่ที่ 10,650-10,740 บาทต่อตัน หรือหดตัว 0.8-1.7% และราคาอ้อยเฉลี่ยปี 2562 อาจอยู่ที่ 750-760 บาทต่อตัน หรือหดตัว 1.3-2.6%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าผลกระทบเบื้องต้นของสถานการณ์ภัยแล้งปี 2562 ต่อความเสียหายของข้าวนาปรังและอ้อยเป็นหลักอาจทำให้เกิดมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 15,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1% ของจีดีพี ทั้งนี้ หากรวมผลเสียหายของพืชเกษตรอื่นอาจทำให้มีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่าที่ประเมินไว้
ยังนึกไม่ออกว่าแล้วพื้นที่ที่ไม่ใช่แหล่งลุ่มน้ำใหญ่จะรับมือกับปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำอย่างไร...อย่างเช่นพื้นที่ภาคตะวันออก...ที่รัฐบาลไปตั้งโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)...ซึ่งเมื่อถึงวันที่โครงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหญ่ เกิดเมืองใหม่ขึ้นตามตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่...จะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีกมหาศาลและเมื่อถึงหน้าแล้งที่ไม่มีน้ำจะทำกันอย่างไร....ทุกวันนี้โครงการอีอีซียังไม่เกิด...เมื่อถึงหน้าแล้งพื้นที่นี้ก็ไม่มีน้ำจะใช้อยู่แล้ว...ถึงขึ้นต้องมีแผนไปลากท่อซื้อน้ำจากกัมพูชามา...
เอาล่ะปัญหาขาดน้ำในพื้นที่อีอีซียังอาจจะไม่เห็นในตอนนี้...แต่เรื่องใหญ่เฉพาะหน้าที่จะได้เห็นก็พวกสวนผลไม้โดยเฉพาะสวนทุกเรียน...ที่ไปส่งเสริมกันให้ปลูกขายผ่าน“อาลีบาบา”...จะทำอย่างไรกัน...ทุเรียนกินน้ำมากกว่าข้าวกี่เท่าตัว....น้ำปลูกข้าวยังไม่มี แล้วจะมีน้ำไปปลูกทุเรียนยังไงกัน....
!! ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้คือปัญหาของเรื่องการบริหารจัดการที่ขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ...เอาแค่เฉพาะหน้า...ดีใจขายทุเรียนให้จีนผ่านอาลีบาบาได้ก็เอามาเป็นผลงานหาเสียง...น้ำเยอะก็ปล่อยทิ้ง....น้ำน้อยหารถไปวิ่งแจกน้ำ...หนักเข้าก็จะไปต่อท่อซื้อน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน....!! คิดกันได้ง่ายๆ ทำกันแบบเฉพาะหน้าแบบนี้มาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว...ทำได้เท่านี้เองเหรอ??????
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี