‘ประธานส.อ.ท.’เชื่อรัฐบาลใหม่อยู่ไม่นาน ชี้การเมืองไม่ชัดฉุดลงทุนใหม่ชะลอ 2 เดือน
28 มี.ค.62 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศในขณะนี้ที่ยังไม่มีความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า เบื้องต้นส่งผลกระทบในแง่จิตวิทยา ทำให้คนหงุดหงิด ไม่สบายใจชัดเจนมากขึ้นเพราะมีพรรคการเมืองที่เชียร์กันไว้อยู่ในใจ เป็นชนวนปัญหาที่โอกาสจะทะเลาะกันได้ง่าย ซึ่งภาคเอกชนไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะประเทศไทยเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว
สำหรับผลกระทบที่มีต่อภาพรวมการลงทุนนั้น ขณะนี้ทุกอย่างยังไม่ได้หยุดชะงัก และยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ เพราะไม่เกิดเหตุการณ์ออกมาประท้วง หรือเกิดความวุ่นวาย จนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เช่น ออกจากบ้านไม่ได้ ทำธุรกิจไม่ได้ แต่ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนที่ชะลอออกไป 2 เดือน โดยเฉพาะการลงทุนใหม่ที่ยังมีความหวังจะได้เห็นการจัดตั้งรัฐบาลไทยมีความชัดเจนภายในเดือนพ.ค.2562
“หากปล่อยให้สถานการณ์ทางการเมืองยืดเยื้อไปนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ยอมรับว่าจะทำให้ภาคเอกชนและคนในสังคมรู้สึกอึดอัด การดำเนินนโยบายจากภาครัฐขาดความต่อเนื่องในบางโครงการ ยกเว้นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีการเปิดประมูลให้ภาคเอกชนดำเนินการไปแล้ว การจับจ่ายใช้สอยก็มีโอกาสที่จะชะลอตัวตามไปด้วย” นายสุพันธุ์ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า ภาคเอกชนมองว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้แล้ว ก็คงมีเวลาเข้ามาทำงานได้ไม่นาน เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่อง ส.ส.ที่เป็นตัวแปรสำคัญทำให้การทำงานของรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งเชื่อว่าในช่วงเวลาที่มีโอกาสเข้ามาทำงานเพียงเวลาน้อยนิด รัฐบาลก็น่าจะเร่งสร้างผลงานให้ได้มากที่สุด และทำงานด้วยความโปร่งใสเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาลเองได้รับความไว้วางใจได้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้งในโอกาสต่อไป
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น สะท้อนการเมืองที่มีเสถียรภาพสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มีส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจที่เคยชะลอตัวปรับตัวดีขึ้น ภาคเอกชนสามารถแข่งขันได้ ถ้าไม่มีปัญหาการเมืองหรือปัจจัยเสี่ยงเข้ามาส่งผลกระทบ ภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าไปได้ต่อเนื่อง ดังนั้นในส่วนของภาคเอกชนอยากได้พรรคการเมืองที่โปร่งใสเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ปราศจากคอรัปชั่น มีนโยบายชัดเจน ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม พร้อมกับลดขนาดของหน่วยงานราชการ เพื่อให้ข้าราชการมีรายได้สูงขึ้น และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ถ้าเจาะลึกปัญหาจริงๆ คือ ปัญหาคอรัปชั่น ถ้าประเทศไทยไม่มีปัญหาคอรัปชั่นเชื่อว่าบ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองได้ เพราะนโยบายแต่ละพรรคการเมืองเป็นนโยบายที่ดี อยากได้ประชาชนในประเทศมีรายได้ที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นทุกวันนี้เราต้องหลบหลีกเรื่องการคอรัปชั่น 2 ทางทั้งจากภาคเอกชน เช่น ผู้ประกอบการต้องเลิกการหลบเลี่ยงภาษีด้วยการทำระบบบัญชีเดียว และภาครัฐที่ปรับปรุงระบบจัดซื้อจัดจ้างที่มีความโปร่งใสเป็นธรรม สามารถตรวจสอบได้” นายสุพันธุ์ กล่าว
นายสุพันธุ์ กล่าวด้วยว่า เพราะเห็นได้ตัวอย่างรัฐบาลในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายที่ดี ทำงานได้รวดเร็วเหมือนภาคเอกชน แต่ตายเพราะคอรัปชั่น ดังนั้น ต้องลดจำนวนคนของหน่วยงานราชการ เพราะมีบุคลากรจำนวนมากเกินไป แต่มีรายได้น้อย เป็นองค์กรที่อุ้ยอ้าย โดยรัฐควรตั้งเป้าหมายลดบุคลากรภาครัฐลงปีละ 20% จาก 100% จนเหลือ 60% ส่วนหนึ่งยังช่วยลดอำนาจรัฐด้วย
อย่างไรก็ตามถ้าขั้วรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลักการดำเนินนโยบายหลัก ก็ไม่ได้ส่งกระทบต่อภาพรวมการลงทุนแต่อย่างใด แต่หากเป็นมีการดำเนินนโยบายประชานิยมก็ต้องหารือกระทรวงการคลังว่าจะมีงบประมาณที่เพียงพอ คุ้มค่าต่อการดำเนินนโยบายหรือไม่ ประชาชนในประเทศจะได้อะไร ก็ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและประโยชน์ต่อประเทศเป็นหลัก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี