“ดีแทค” เผยโรดแมป 5G โดดร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม หวังพัฒนาระบบให้เหมาะสมกับไทย ชี้ตัวแปรสำคัญจี้ “กสทช.” ทำแผนความถี่คลื่นให้ชัด
1 เม.ย.62 นางอเล็กซานดราไรซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า ระบบ 5G สำหรับประเทศไทย ดีแทคเชื่อว่าจะต้องเกิดอย่างแน่นอน เนื่องจากประเทศไทยมีการขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 แต่จะเกิดได้อย่างไรนั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐ กสทช.ที่จะต้องกำหนดแผนคลื่นความถี่ในการใช้ 5G ให้ชัดเจนมากกว่านี้ การกำหนดราคาประมูลจะต้องสมเหตุสมผล ซึ่งที่กล่าวมาเป็นอุปสรรคปัญหาที่สำคัญมากในการจะผลักดันให้เกิด 5G ในประเทศไทย
“แผนคลื่นความถี่จะต้องชัดเจน ดังนั้น กสทช.จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์และแผนคลื่นความถี่ และความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งการที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องแผนคลื่นความถี่จึงทำให้ดีแทคไม่สามารถกำหนดงบประมาณในการลงทุนที่จะใช้ในแผน 5G ดังนั้นยังไม่ได้สรุปรูปแบบธุรกิจ แต่จะเห็นส่ิงที่กำหนดได้คือ การใช้งานจริงที่ดีแทค ได้พัฒนาในการใช้ระบบ 5G ในด้านการเกษตร,สุขภาพ” นางอเล็กซานดราไรซ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามสำหรับโรดแมป 5G ดีแทค คือการร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันพัฒนาการใช้ระบบให้เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งตัวแปรสำคัญทั้งหมดอยู่ที่รัฐบาลในความชัดเจนของแผนคลื่นความถี่ก็จะทำให้กำหนดแผนลงทุนต่อไปได้ คลื่นความถี่คือสิ่งสำคัญยิ่งในการปูพื้นฐานสู่ 5G เพราะการใช้งานและการทดสอบบริการ (Use case) ต่างๆ จะทำให้พิสูจน์ถึงความต้องการใช้คลื่นความถี่ที่กว้างและ 5G ต้องการใช้ทั้งคลื่นย่านความถี่สูง-กลาง-ต่ำ ดังนั้น จึงตอกย้ำว่าประเทศไทยควรทำแผนจัดสรรคลื่นความถี่ ก่อนการจัดสรรคลื่นครั้งต่อไป รวมทั้งรูปแบบการจัดสรรคลื่นความถี่ในปัจจุบัน การออกแบบการประมูลที่ดีจะทำให้กำหนดราคาคลื่นความถี่ที่ยุติธรรมในการทำตลาด และป้องกันราคาประมูลที่สูงเกินจริง
ทั้งนี้ ดีแทคเชื่อว่ารากฐานที่สำคัญของการพัฒนาสู่ 5G จะต้องมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งก่อนที่จะพัฒนาสู่เทคโนโลยี 5G และนำมาเปิดให้บริการแก่สาธารณะได้ โดยต้องให้ความสำคัญประกอบด้วย 1. แผนจัดสรรคลื่นความถี่(Spectrum Roadmap) ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดแผนและการนำคลื่นย่านความถี่ต่างๆ ที่ชัดเจนมาใช้งาน เพราะการจะให้บริการ5Gได้นั้นต้องมีคลื่นความถี่ที่เพียงพออย่างน้อย100 MHz ต่อราย และจะต้องมีการกำหนดราคามูลค่าคลื่นความถี่ที่เหมาะสมและยืดหยุ่นในการลงทุน 2. ภาครัฐต้องสนับสนุนแนวทางกำกับดูแลในการขยายโครงข่าย 5G ในเรื่องการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure Sharing) หรือจัดทำหน่วยงานกลางรับผิดชอบในรูปแบบ Infrastructure Company โดยจะต้องสนับสนุนให้ใช้ภาคเอกชนลงทุนได้มีประสิทธิภาพสูงสุดและขยายโครงข่ายได้รวดเร็ว ซึ่งดีแทคพร้อมที่จะประสานงานและสนับสนุนภาครัฐทุกหน่วยงาน 3. ความร่วมมือคือหลักการสำคัญที่จะพัฒนา 5G รวมทั้งการทดลองและทดสอบจะต้องร่วมประสานกันระหว่างภาครัฐและอุตสาหกรรม และการที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาร่วมส่งเสริมการใช้ 5G ให้ขยายออกไป และรวมถึงการเริ่มต้องสมาร์ทซิตี้ และการใช้ 5G สำหรับสาธารณะ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้น และสามารถพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน
สำหรับดีแทคได้ยื่นดำเนินการขออนุญาตทดสอบ 5G ต่อ กสทช. เป็นที่เรียบร้อย โดยได้ขอไปทั้งสิ้นจำนวน 6 คลื่นความถี่ ได้แก่ 26 GHz, 28 GHz,3.5 GHz, 2300 MHz, 2600 MHz และ 1800 MHz เป็นต้น
ทั้งนี้คาดว่ากสทช.จะสามารถอนุญาตให้มีการทดสอบ 5G ได้ภายในเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ และหลังจากนั้น บริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการทดสอบดังกล่าวในช่วงต้นไตรมาส 3/62
ล่าสุดร่วมกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรในการทดสอบ 5G ในความร่วมมือในการทดสอบ 5G ของทั้ง 3 องค์กร ได้ทำการทดสอบรูปแบบใช้งาน (Use case) ที่เหมาะกับประเทศไทย และเพื่อพัฒนาสู่5G อย่างยั่งยืน และหาความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ
สำหรับทีโอทีได้ร่วมมือในการทดสอบโดยการนำโครงการเสาอัจฉริยะ หรือสมาร์ทโพล(Smart pole) ซึ่งเป็นเสาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุค 5G ที่ออกแบบให้ใช้งานโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure sharing) โดยเสาอัจฉริยะ Smart pole นี้จะถูกนำไปทดสอบ 5G Testbed ในพื้นที่ตามที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. มาร่วมทดสอบ 5G และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือCAT ได้เห็นความสำคัญกับความร่วมมือทดสอบ 5G ร่วมกันทั้งการใช้โครงสร้างพื้นฐานฐานข้อมูลความรู้ และประสบการณ์ร่วมกันสำหรับการทดสอบ CAT นำเสนอโครงการ“PM 2.5 Sensor for All” วัดค่าคุณภาพอากาศมาร่วมทดสอบ
นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยว่า ภายในเดือนเมษายนการทดลองทดสอบการใช้งานจริง (Use case) จะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ว่าจะใช้การทดลองทดสอบบนกรณีไหน
นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องมีโครงข่าย 5G ไม่ทั้งหมดทั้งประเทศอย่างน้อย
จะเป็นหัวรถจักรที่ดึงให้ประเทศไทยไปได้ 10-20 ปี ซึ่งทีโอทีเสนอรูปแบบธุรกิจแบบแชร์ริ่ง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีโครงข่ายได้เร็ว รวมถึงเป็นการลดต้นทุนและเวลาของประเทศในการติดตั้งซ้ำซ้อน ความร่วมมือการทดสอบ 5G เป็นสิ่งสำคัญในอุตสาหกรรมเพื่อหาข้อสรุปและแนวทางก่อนจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสทฯ กล่าวว่า เราได้ร่วมมือทดสอบ 5G โดยนำโครงการ “PM2.5 Sensor for All” เข้าร่วม โดยข้อมูลของคุณภาพอากาศที่ได้ จะจัดเก็บไว้แบบเรียลไทม์ด้วยระบบคลาวด์ ผ่านเซ็นเซอร์ในพื้นที่แต่ละแห่ง ในอนาคตเมื่อใช้งานบนโครงข่าย 5G แล้ว จะสามารถยกระดับจาก IoT สู่ massive IoT โดยการติดตั้งเซ็นเซอร์จำนวนมากได้เพิ่มขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้นและยังสามารถนำมาออกแบบสู่แหล่งข้อมูลกลางที่นำเก็บค่าดัชนีคุณภาพอากาศจากทุกพื้นที่นำมาประมวลผลร่วมกัน (Calibrate) เป็นบิ๊กดาต้า (Big Data) บนคลาวด์ที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศของไทยมาตรฐานกว่าที่เคยมีรายงานมาก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี