เปิดทิศทางวิจัยยั่งยืนแนวใหม่ เน้นศึกษาถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เสริมสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลก ในแง่การเงินและการค้า
3 พ.ค.62 การวิจัยในหลายๆ ศาสตร์ของยุคนี้มีทิศทางการวิจัยที่เน้นสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้มีกลุ่มนักวิจัยจากหลายสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาร่วมกันจัดทำโครงการที่เกี่ยวกับงานการวิจัยเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move Thailand) ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมานั้นมีงานวิจัยและงานสัมมนาวิชาการที่เกี่ยวข้องกันเกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยส่วนใหญ่จัดขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นการศึกษาถึงสถานการณ์เรื่องนี้ในประเทศไทย และ เพื่อทำความความเข้าใจถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ และกลไกที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ทั้งนี้โครงการ SDG Move Thailand ได้ร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดลำดับความสำคัญของเป้าประสงค์ที่อยู่ในกรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมายตามที่สหประชาชาติกำหนด
ดร. กุลบุตร โกเมนกุล รองคณบดีฝ่ายบริหารและวิเทศสัมพันธ์ และอาจารย์ประจำสาขาการเงินและการลงทุนมหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวถึงงานวิจัยชุดนี้ว่า “งานวิจัยชุดนี้เป็นการสำรวจสถานะของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 17 ซึ่งเป้าหมายที่ 17 นั้นคือเรื่องของการเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnerships for goals) และทางเลือกมาตรการทางเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย เพื่อเสริมสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลก ในแง่การเงินและการค้า โดยการวิจัยนี้ได้อธิบายถึง ความแตกต่างของเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 17 ว่าแตกต่างจากเป้าหมายอื่นๆ อย่างไร และสำคัญหรือเชื่อมโยงกับ เป้าหมายข้ออื่นๆ อย่างไร”
ดร. ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ จาก University of Birmingham สหราชอาณาจักร นักวิจัยในโครงการ ได้แสดงความเห็นว่า “ประเทศไทยนั้นจำเป็นต้องศึกษาความเชื่อมโยงของเป้าหมายที่ 17 กับเป้าหมายอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคมและนโยบาย ไปพร้อมกับการศึกษาสำรวจสถานะปัจจุบันของตัวชี้วัดและนโยบาย (เช่น มาตรการ ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒน์ฯ) ที่เกี่ยวข้องกับเป้าประสงค์ 17.1-17.5 (ความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศ) และ 17.10-17.12 (ความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ) เพื่อประเมินความพร้อมของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายที่ 17 และทำความเข้าใจกับอุปสรรคหรือปัญหาที่มีอยู่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดลำดับความสำคัญของเป้าประสงค์ และการกำหนดนิยามของเป้าประสงค์ ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายที่เหมาะสมกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านการเงินและการค้า และเหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันของตัวชี้วัดและบริบทของประเทศไทย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถที่จะร่วมกันรวบรวบข้อมูล และนำไปใช้เป็นตัวติดตามประเมินความก้าวหน้าและสถานะของเป้าประสงค์ 17.1-17.5 และ 17.10-17.12”
รศ. ดร. นงนุช ตันติสันติวงศ์ จาก Nottingham Trent University, สหราชอาณาจักร กล่าวต่อไปว่า “เป้าหมายด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการเงินและการค้า ตามเป้าหมายที่ 17 มีความสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทั้ง 17 ของ SDG โดยนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเป้าหมาย SDG ทั้ง 17 เป้าหมายแล้ว ยังแสดงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับประเทศ เพื่อบรรลุตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยฉบับที่ 12 (2560-2564) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเป้าประสงค์ของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่มีมาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความรุนแรง จนเริ่มส่งผลกระทบต่อการค้าโลก และภาคเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศคู่กรณีและประเทศที่เป็นคู่ค้าของทั้ง 2 ประเทศ ความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้น อันเป็นผลจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อประเทศคู่ค้า (จีน ยุโรป แคนาดา เม็กซิโก) และความสั่นคลอนในกลุ่มอียูอันเนื่องมาจากการลาออกจากความเป็นสมาชิกของสหราชอาณาจักรที่กำลังจะถึงกำหนดเส้นตายในปี 2562 อาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก ทำให้งานวิจัยในประเด็นความร่วมมือทางการเงิน และการค้าระหว่างประเทศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ประเด็นในเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด คำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ปรากฎอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (แผนพัฒน์ฯ) ทุกฉบับ มาตั้งแต่ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) และยังปรากฎอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เพิ่งประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 แต่กระนั้น ความเป็นรูปธรรมของ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒน์ฯ ยังปรากฎอยู่น้อยมาก ในทางกลับกัน เราเห็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยมาตลอด เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาขยะล้นประเทศ ปัญหาจราจรและมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสังคม ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วโลก องค์การสหประชาชาติ (UN) จึงได้นำเสนอวาระการพัฒนาหลังปี พ.ศ. 2558 ภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาที่ยั่งยืน 2030” โดยมีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งประกอบไปด้วย 17 เป้าหมาย (Proposed goals) และ 169 เป้าประสงค์ (Proposed targets) รวมถึงตัวชี้วัด (Indicators) ของแต่ละเป้าประสงค์ ร่วม 232 ตัวชี้วัด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือติดตามสภาวะของการพัฒนา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี