นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวในรายการ “LIVE with Guru เจาะลึกกับผู้รู้เรื่องการลงทุน” ในเพจเฟซบุ๊ค TISCO Mastery ว่า ปัจจุบันภาคตลาดทุนมีความคาดหวังเชิงบวกต่อรัฐบาลชุดใหม่ไม่มากนัก เนื่องจากมีแนวโน้มจะเป็นรัฐบาลที่รวมเสียงจากพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กถึง 20 พรรคไว้ด้วยกัน และมีเสียงเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย จึงมองว่ารัฐบาลชุดใหม่อาจประสบปัญหาด้านเสถียรภาพ และเอกภาพในการบริหารงาน รวมทั้งอาจมีวาระในการบริหารประเทศไม่นานนัก ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับภาพการลงทุนในระยะยาว ดังนั้น ราคาหุ้นจึงไม่ได้ตอบรับในเชิงบวก และยังไม่เห็นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาประมาณ 1 แสนล้านบาท ตามที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดใหม่คือ ต้องสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถดำรงวาระจนครบ 4 ปี และดำเนินโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การคัดเลือกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ควรจะต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญและเข้าใจถึงการบริหารงานด้านเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพราะรัฐบาลชุดใหม่นี้จะมีเวลาพิสูจน์ผลงานไม่นานนัก
ทั้งนี้ แนวทางการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ คาดหวังว่าจะได้เห็นการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก เพราะในช่วงนี้เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในช่วงชะลอตัว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2562 ลงมาแล้วถึง 3 ครั้งเหลือเพียง 3.3% ต่อปี ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็กลับมาคุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง ด้านการท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวหลังจากเติบโตในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เรียกได้ว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจกว่า 80% ได้แก่ การส่งออก และการท่องเที่ยว ชะลอตัวทั้งหมด หากรัฐบาลไม่กระตุ้นการบริโภคในประเทศปีนี้ อาจได้เห็นจีดีพีที่ต่ำกว่า 3% แต่หากต้องการเห็นจีดีพีที่ 3.5% รัฐบาลจะต้องเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องและออกมาตรการหนุนการบริโภคในประเทศคู่กันไป
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า สำหรับมุมมองด้านการลงทุนนั้น ส่วนตัวประเมินว่าเศรษฐกิจในปี 2563 จะเริ่มฟื้นตัว สงครามการค้าที่กดเศรษฐกิจอยู่ในช่วงนี้จะได้รับการปลดล็อก เพราะทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างไม่ได้ประโยชน์จากการขึ้นภาษีในครั้งนี้ ประกอบกับสภาพคล่องทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ทั้งนี้ ในปี 2563 จะมีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ซึ่งในอดีตในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ กว่า 20 ครั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้น มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้นที่ในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลาดหุ้นลดลงเนื่องจากมีวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น ในช่วงที่หุ้นปรับฐานเพื่อไปต่อในช่วงนี้จึงเป็นจังหวะ “ซื้อ” มองดัชนีหุ้นไทยปี 2562 อยู่ที่ 1,750-1,800 จุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี