21 มิ.ย.62 น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงความคืบหน้าการเร่งดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์ กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ว่า โครงการนี้ บมจ. กสทโทรคมนาคม (กสท) เป็นผู้ดำเนินการโดยขณะนี้ทุกกิจกรรมได้มีความคืบหน้าที่สอดคล้องกัน โดยมุ่งสู่เป้าหมายผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลดิจิทัลอาเซียน และส่งเสริมศักยภาพของไทยให้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของอาเซียนสู่ยุคดิจิทัล
ทั้งนี้ กิจกรรมที่ดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ คือกิจกรรมย่อยที่ การขยายความจุโครงข่ายภายในประเทศเชื่อมโยงไปยังชายแดน เพื่อเชื่อมต่อประเทศกัมพูชาลาว และเมียนมา รวมความจุที่ขยายเพิ่ม 2300 Gbps อยู่ระหว่างการทดสอบและติดตั้งอุปกรณ์ใน 151 สถานีทั่วประเทศ และกิจกรรมย่อยที่ การขยายความจุระบบโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศที่มีอยู่ในเส้นทางสิงคโปร์ จีน (ฮ่องกง) และสหรัฐอเมริกา จำนวน 3 ระบบ คือ AAG, APG, FLAG โดยรวมความจุที่ขยายเพิ่ม 1,770 กิกะบิตต์ต่อสินาที ซึ่งกสท ได้ดำเนินการครบถ้วนแล้วสามารถรองรับปริมาณทราฟิกทั้งประเทศซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 7,512 กิกะบิตต์ต่อวินาที รวมถึงการใช้งานที่จะเพิ่มในอนาคต ซึ่งจะช่วยกระตุ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงานและธุรกิจใหม่ สร้างโอกาสในการศึกษาและสาธารณสุขที่เท่าเทียมกัน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้บริการอินเทอร์เน็ตลดลง เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐที่เป็นประโยชน์
ขณะเดียวกันการลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่เพื่อเชื่อมโยงประเทศในเอเชียแปซิฟิกได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย จีน เวียดนามมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ งบประมาณ2,000 ล้านบาท ล่าสุดผ่านการเสนอต่อ ครม.รับทราบและอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยคาดว่าจะมีการลงนามในเอกสารข้อตกลงระหว่างภาคีสมาชิกภายในเดือนกรกฎาคม 2562 และลงนามสัญญาจ้างภายในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถทดสอบระบบรวมถึงส่งมอบสิทธิการใช้งานให้กระทรวงดีอีภายในปี 2564
พ.อ.สรรพชัย หุวะนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อการก่อสร้างระบบเคเบิลระบบใหม่แล้วเสร็จจะเพิ่มความมั่นคงในการเชื่อมต่อของภูมิภาคอาเซียนและมีส่วนช่วยสนับสนุนการเป็น ASEAN Digital Hub ของไทย โดยจะเพิ่มปริมาณความจุและเส้นทางเชื่อมโยงผ่านระบบเคเบิลใต้น้ำไปจีนและฮ่องกงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเส้นทาง ส่งผลให้ประเทศไทยมีโครงข่ายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างไทยกับจีนมีความหลากหลายมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น สามารถรองรับความต้องการใช้งานที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มความจุและจัดสร้างเคเบิลใต้น้ำระบบใหม่ดังกล่าวจึงนับเป็นการเชื่อมโยงกลุ่มประเทศอาเซียน(ไทย+CLM) กับประเทศจีน (ฮ่องกง) ทั้งทางบกและทางทะเล ยกระดับประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค เคเบิลระบบใหม่ได้ออก แบบให้มีจุดเชื่อมต่อกับประเทศไทยที่สถานีเคเบิลใต้น้ำชลี 3 ศรีราชา ซึ่งอยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการ Digital Park Thailand โดยจากจุดเชื่อมต่อนี้สามารถเชื่อมต่อตรง (Direct Route) จากประเทศไทยไปยังฮ่องกงและสิงคโปร์ จึงเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของโครงการ Digital Park Thailand ซึ่งเป็นพื้นที่ส่งเสริมพิเศษตามนโยบายEEC สำหรับรองรับนักลงทุนด้านดิจิทัลประเทศไทยและจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี เช่น 5G, AI, Cloud, IoTs, Smart City, Big Data รวมถึงเป็นจุดสนใจสำหรับผู้ประกอบกิจการคอนเทนต์ระดับโลก โดยประเทศไทยตั้งอยู่ ณ จุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการเป็นศูนย์กลางการติดต่อสื่อสาร
สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งประเทศเหล่านี้มีการเติบโตของอินเทอร์เน็ตทราฟิกสูง อีกทั้งประเทศ ไทยมีการใช้งานดิจิทัลคอนเทนต์จำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ดังนั้น เมื่อรวมปริมาณอินเทอร์เน็ตทราฟิกและดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) เข้าด้วยกัน นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ประกอบกิจการคอนเทนต์ (Content Provider) รายใหญ่ให้มาตั้งฐานข้อมูลในประเทศไทย ใช้งานผ่านโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำที่ได้ขยายความจุไว้พร้อมรองรับ อันจะทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาศักยภาพก้าวสู่การเป็นASEAN Digital Hub ตอนบนได้อย่างมั่นคง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี