ครม.ไฟเขียวออกแบบ‘รถไฟไทย-จีน’เฟส2 เร่งประมูลอีก 6 สัญญาวงเงิน6หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ทาง ครม.ได้มีการอนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย ระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย) ระยะเวลาดำเนินการ 19 เดือน วงเงิน 751,624,800 บาท
ทั้งนี้ ได้มีการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 112,743,700 บาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ส่วนที่เหลือจำนวน 638,881,100 บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2564 โดยเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กิโลเมตรนั้น วงเงินลงทุนก่อสร้างที่คาดการณ์ประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดจ้างเอกชนศึกษาออกแบบโครงการในระยะที่ 2 วงเงินเต็ม 751 ล้านบาท ส่วนอีกประมาณ 638 ล้านบาทจะใช้งบประมาณของปี 2563 ต่อไป ขณะที่การออกแบบในช่วงที่ 2 ได้แก่ ช่วงนครราชสีมา-ขอนแก่น และช่วงขอนแก่น-หนองคาย เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า ซึ่งทางการรถไฟฯได้จัดทำร่างเอกสารขอบเขตการประกวดราคา(TOR) เสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างขึ้นเว็ปไซต์เพื่อเปิดประชาพิจารณ์ คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลและลงนามสัญญาได้ภายใน 6 เดือนนับจากนี้ ก่อนเริ่มขั้นตอนการศึกษาระยะเวลาประมาณ 12 เดือน ส่วนวงเงินค่าก่อสร้างนั้นกระทรวงการคลังยืนยันว่ามีงบในการลงทุนแน่นอน
ด้านความคืบหน้าการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา วงเงิน 125,000 ล้านบาท รวม 14 สัญญานั้น ขณะนี้ประมูลเสร็จและทยอยก่อสร้างไปแล้วทั้งหมด 8 สัญญา โดยได้รับการรายงานว่าการประมูลที่ผ่านไปนั้นได้ราคาดีสามารถประหยัดค่าก่อสร้างไปได้มากจึงตั้งเป้าว่าจะเปิดประมูลอีก 6 สัญญา วงเงินลงทุน 60,000 ล้านบาท ได้ภายในเดือน ก.ค.นี้ และยืนยันว่าโครงการฯยังสามารถเดินได้ตามแผนที่วางไว้และจะแล้วเสร็จตามกำหนดการในปี 2565
ทั้งนี้ ยังได้อนุมัติให้การรถไฟฯ ได้รับการยกเว้นการดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่10 ก.พ. 2562 เรื่องการปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาดังกล่าวโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสัดส่วนการได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก ที่กำหนดไว้ว่าต้องได้รับการจัดสรรไม่ต่ำกว่า 20% ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นงบประมาณทั้งสิ้น และในการขออนุมัติการดำเนินการดังกล่าวมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายแบ่งเป็นค่าตอบแทนบุคลากรจำนวน 506,928,400 บาท เช่น ค่าใช้จ่ายสำนักงาน, ค่าสำรวจ ทดสอบ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จำนวน 195,524,725 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 49,171,718.75 บาท โดยอยู่ภายในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่กำหนดว่าต้องไม่เกิน 8% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเรื่องกำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
นอกจากนี้ในส่วนของเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับทางกระทรวงคมนาคมนั้น ทางกระทรวงการคลังได้มีการนำเสนอขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ(PSO) ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และการรถไฟฯ ที่ทางคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะได้เห็นชอบอนุมัติให้ทาง ขสมก. วงเงิน 1,775.653 ล้านบาท และการรถไฟฯ วงเงิน 3,238.682 ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวยังไม่ได้เต็มวงเงินอุดหนุนที่ขอไปต่อเนื่องจากทางคณะกรรมการฯได้มีหลักการในการพิจารณาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆที่ไม่นับว่าเป็นการอุดหนุนบริการทางสาธารณะ โดยกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ ขสมก.และการรถไฟฯ จัดทำในส่วนของต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดุแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการ และนำต้นทุนมาตรฐานดังกล่าวมาประกอบการจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะดังกล่าวในปีต่อไป
ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่สมาชิกสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สร.กทพ.) เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการต่อขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2-ต่อขยายส่วนD บางปะอิน-ปากเกร็ด ไปอีก 30 ปีเพื่อแลกกับหนี้ข้อพิพาท 17 เรื่อง มูลค่า 100,000 ล้านบาท ว่าจากการประชุมหารือร่วมกันทางสหภาพฯไม่ได้ติดใจเรื่องหลักการในการขยายสัมปทานเพื่อแลกกับค่าชดเชย แต่ติดใจเรื่องของกระบวนการความถูกต้องและเรื่องความไม่ชอบมาพากลที่มีการเร่งรีบเสนอโครงการให้รัฐบาลอนุมัติในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองนี้
อย่างไรก็ตามข้อสงสัยเรื่องการขยายสัมปทานนั้นขอชี้แจงว่า จากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งได้สั่งการให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) ไปหาแนวทางชำระค่าชดเชยรายได้ทางด่วนเส้นทางอุดรรัถยา วงเงิน 4,000 ล้านบาท ที่ศาลได้มีคำสั่งตัดสินสิ้นสุดไปแล้วแต่ทว่าเงื่อนไขของครม.คือต้องไม่ชำระเป็นเงินสด โดย กทพ.จึงได้ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมาที่ประกอบจากหลายหน่วยงานเช่น กทพ. กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง เพื่อแสวงหาแนวทางในการชำระค่าชดเชยจึงได้ข้อสรุปเรื่องการขอขยายสัมปทานทางด่วนไปอีก 30 ปีเพื่อแลกกับค่าชดเชยดังกล่าวและค่าชดเชยในอนาคตที่ยังอยู่ระหว่างคดีข้อพิพาทในชั้นศาล
ทั้งนี้ ยังไม่มีการเสนอแนวทางการต่อขยายสัญญาสัมปทานดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เนื่องจากตอนนี้เรื่องอยู่ในมือกระทรวงคมนาคม จึงจำเป็นต้องให้กระทรวงตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของเนื้อหาด้วยความรอบคอบเสียก่อน จึงจะเสนอเรื่องไปยังที่ประชุม ครม.ต่อไป แต่เบื้องต้นจากที่ดูแนวทางดำเนินการที่ กทพ.เสนอมานั้น พบว่าเป็นไปตามแผนและเงื่อนไขของการร่วมทุนพรบ. PPP แต่ด้วยเรื่องความรับผิดชอบภายใต้กระทรวงคมนาคมนั้นจำเป็นต้องดึงเรื่องมาตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อยเสียก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังก่อนส่งต่อไปยัง ครม.ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี