ll ภาษี นอกจากจะเป็นกลไกในการหารายได้เข้ารัฐแล้ว ยังเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการ “ส่งเสริม” การบริโภคสินค้าที่พึงประสงค์ หรือ “ควบคุม” การบริโภคสินค้าที่ไม่พึงประสงค์ ดังจะเห็นได้จากกรณีการเก็บภาษีรถยนต์ธรรมดา กับรถยนต์ไฟฟ้า ที่รัฐมีการลดภาษีให้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้กันมากขึ้นเพื่อลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
ไม่ต่างอะไรกับการคงภาษี “ยาเส้น” ในอัตราที่ต่ำกว่าบุหรี่ซอง โดยก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นภาษียาเส้นเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ยาเส้นห่อหนึ่งเสียภาษีน้อยกว่าบุหรี่ซองหนึ่งไม่ต่ำกว่า 26,000% ทำให้ยาเส้นเป็นที่นิยมในหมู่สิงห์อมควันชาวไทยเกือบ 5 ล้านคน แต่กลับเสียภาษีรวมไม่ถึง 1% ของภาษียาสูบที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บได้ทั้งหมด ขณะที่บุหรี่ซองซึ่งเป็นที่นิยมของนักสูบไทยอีก 5 ล้านคน สร้างรายได้ภาษีคิดเป็น 99% ของภาษียาสูบที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บได้
แต่กรณีนี้ต่างจากกรณีรถยนต์ไฟฟ้าตรงที่ว่า ยาเส้นมีอันตรายและโทษต่อสุขภาพเหมือนกับบุหรี่ซอง (จริงแล้วมากกว่าด้วยซ้ำไป) ดังนั้น การคงภาษียาเส้นในอัตราที่ต่ำมากแบบนี้ก็กลายเป็นรัฐ “ส่งเสริม” ให้ประชาชนสูบยาเส้น และ “ควบคุม” แต่บุหรี่ซอง
แม้จะขึ้นภาษียาเส้นไป 2,000% ตามที่มีกลุ่มอุตสาหกรรมยาเส้นร้องเรียน แต่จริงๆ แล้วภาษียาเส้นห่อหนึ่งก็ยังต่ำกว่าภาษีบุหรี่ซองหนึ่งกว่า 1,200% การขึ้นภาษีอาจทำให้ยาเส้นห่อเล็กต้องขึ้นราคา 2-3 บาท แต่ก็ยังขายในราคาไม่เกิน 15 บาท ซึ่งต่างจากบุหรี่ถูกกฎหมายตอนนี้ที่ราคาส่วนใหญ่เริ่มที่ซองละ 60 บาท อยู่ไม่ต่ำกว่า 300% และยังเป็นราคาที่ประชาชนทั่วไปยังซื้อได้
การที่อุตสาหกรรมยาเส้นออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกฎกระทรวงที่ประกาศขึ้นภาษียาเส้นเมื่อวันที่ 7 พ.ค. และคัดค้านการเก็บภาษียาเส้นในลักษณะเดียวกับภาษีบุหรี่ อาจทำให้หลายฝ่ายเห็นใจและรับปากจะเข้ามาช่วยดูแลให้ แต่หากรัฐยอมทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวก็เท่ากับรัฐจะ “ส่งเสริม” ให้สูบยาเส้นกันต่อไป ทั้งที่ประชาชนที่ล้มป่วยจากการสูบยาเส้นก็สร้างภาระและความสูญเสียทางเศรษฐกิจไม่ต่างจากผู้สูบบุหรี่ซอง
หากมองลึกลงไปว่ากลุ่มผู้สูบยาเส้นมักเป็นผู้มีรายได้น้อย ก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาย่อมเป็นภาระระบบการรักษาพยาบาลของรัฐมากกว่าผู้สูบกลุ่มอื่น แต่เหตุใดรัฐจึงยังจะส่งเสริมให้พวกเขาสูบยาเส้นกันต่อด้วยการใช้นโยบายภาษีทำให้ยาเส้นมีราคาถูกต่อไป....และที่อ้างว่าธุรกิจยาเส้นเป็นการส่งเสริมเกษตรกรรากหญ้า...เอาเข้าจริงไปดูดี...เจ้าของธุรกิจตัวจริงเป็นใครกันแน่....ขับรถซูเปอร์คาร์กันทั้งนั้น...จะช่วยเกษตรกรรากหญ้าจริงก็ต้องแก้ให้ตรงจุดกว่านี้
นี่คือคำถามที่กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังและนักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารงานบ้านเมืองต่อไป จะต้องตอบประชาชนชาวไทยทุกคนให้ได้ มิใช่แต่เฉพาะฐานเสียงของตัวเอง
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี