นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกพบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงสู่ระดับการขยายตัว 2.9% จาก 3.2% ในปี 2561 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสชะลอลงเล็กน้อยจาก 2.7% ในปี 2561 มาอยู่ที่ 2.4% อันเป็นผลจากสถานการณ์การคลังของแต่ละภูมิภาค ความไม่แน่นอนด้านการเมือง รวมถึงปัจจัยสำคัญอย่างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน
สำหรับค่าเงินยังคงมีความผันผวนสูง และต้องจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเนื่องจากผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทยอยหมดลง ตลอดจนการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อจำเป็น ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ด้านเศรษฐกิจไทย ธนาคาร ได้ปรับลดประมาณการเติบโตมาอยู่ที่ 3.3% ในปี 2562 โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจส่วนหนึ่ง มาจากการชะลอการลงทุนภาคไตรมาสที่ 1 โดยคาดว่าปี 2563 มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 3.7% ในครึ่งปีหลัง 2562 คาดการณ์ว่าการส่งออก และการท่องเที่ยว ยังมีโอกาสขยายตัวในระดับที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินบาทไทย มีแนวโน้มอยู่ในระดับที่แข็งค่าไปจนถึงช่วงต้นปี 2563 โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบ 31.20 – 31.50 และยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ระดับค่าเงินบาทปัจจุบัน ที่แข็งค่าอยู่ในระดับ 30.60 - 30.70 ที่ได้รับอานิสงส์ส่วนหนึ่งมาจากเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น จะคงอยู่ได้นานหรือไม่ ทั้งนี้เพราะรายได้จากต่างประเทศจากการส่งออก และการท่องเที่ยวยังไม่ได้ดีขึ้นชัดเจน
ดังนั้นคาดหวังรัฐบาลใหม่มีมาตรการเร่งรัดเบิกจ่ายหรือมีมาตรการที่ช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายภาคเอกชนเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รวมถึงการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เป็นผลบวกกับเศรษฐกิจและการลงทุน ย้ำขอให้มีมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะปีนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมเห็นว่าระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนในระดับสูง ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศเข้มแข็ง ซึ่งมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศโดยเฉพาะการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมไม่ได้ลดลงและบางจุดมีการสะสมความเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญ กับ 4 ประเด็นหลัก อาทิ เรื่องสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังน่ากังวลโดยเฉพาะในครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง การก่อหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงและมีสัญญาณกลับมาเร่งขึ้นโดยเฉพาะจากสินเชื่อหมวดรถยนต์
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ และผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่มิใช่ธนาคาร (non-banks) แข่งขันกันรุนแรงขึ้นในตลาดสินเชื่อรายย่อย มีมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อ (underwriting standard) ที่หย่อนลง และมีการให้สินเชื่อที่กระตุ้นการก่อหนี้เกินจำเป็น ซึ่งอาจเพิ่ม ความเปราะบางทางการเงินให้กับภาคครัวเรือนได้ ที่ประชุมจึงเห็นว่า ธพ. และ non-banks ควรปล่อยสินเชื่อโดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้มากขึ้นโดยเฉพาะผู้กู้กลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มรายได้น้อย กลุ่มเริ่มทำงาน (first jobbers) และกลุ่มวัยเกษียณ ซึ่งมีแนวโน้มก่อหนี้สูงเกินตัวและอาจมีเงินเหลือไม่พอต่อการยังชีพ
“ที่ประชุมเห็นว่าหนี้ครัวเรือนเป็นประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อระบบการเงินไทย หากไม่เร่งดูแลโดยเร็วจะก่อตัวเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในอนาคตได้” ธปท.ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี