กนอ.เผยนิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออก ทั้งชลบุรี ฉะเชิงเทรา เสี่ยงไฟ รวมทั้งใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ ปทุมธานี เหตุต้องพึ่งไฟจากโรงไฟฟ้าวังน้อย ที่ใช้ก๊าซจากพม่าเป็นเชื้อเพลิงหลักภาคเอกชนจี้รัฐเร่งให้ความชัดเจน เพื่อปรับแผนการผลิตตลาดหุ้น แบงก์ชาติ พร้อมรับมือ ก.พลังงาน วอน ประชาชนอย่าตื่นตระหนกตามข่าวก๊าซขาดตลาด พาณิชย์ ถ้าแห่ซื้อกักตุน อาจส่งผลให้ขาดแคลนได้
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยหลังการนำผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม 300 คน มารับฟังการชี้แจงจากนายธนา พุฒรังษี รองผู้ว่าการระบบส่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เกี่ยวกับ
มาตรการรองรับการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากพม่าระหว่าง 5-14 เม.ย. ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตไฟ 4,100 เมกะวัตต์ เมื่อ 26 ก.พ. ว่า จากการรับฟังการบรรยายมีความเป็นห่วงเพียงนิคมอุตสาหกรรมบางชันที่มีความเสี่ยงมากสุดต่อแรงดันกระแสไฟฟ้าจะตกจาก 220 โวลต์ เพราะอยู่ใกล้บริเวณพื้นที่เสี่ยงไฟตก 3 จุด ของเขต กทม.(ลาดพร้าว รัชดา บางกะปิ) ดังนั้นกนอ.จึงจะติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อโรงงานที่ขณะนี้ดำเนินกิจการอยู่ 81 แห่ง และส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้แจ้งให้ทราบว่ายังมีอยู่ในวิสัยที่จะบริหารจัดการกระแสไฟฟ้าได้
“กนอ.มีนิคมฯอยู่ 47 แห่ง แต่ที่ดำเนินการแล้วมี 37 แห่ง เฉลี่ยแต่ละแห่งจะใช้ไฟ 80-150 เมกะวัตต์ต่อวัน หรือเฉลี่ย 37 นิคมฯเป็น 3,700 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของการใช้ไฟทั้งหมดทั่วประเทศที่ระดับ 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ ดังนั้นไฟฟ้าจึงมีผลโดยตรงต่อภาคการผลิต” นายวีรพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ กนอ.จะได้ประสานไปยังนิคมฯต่างๆ ที่จะให้ช่วยวางแผนในการลดการใช้ไฟในวันที่ 5 เม.ย. เช่น ลดกำลังการผลิตหรือเลื่อนการผลิตช่วงความต้องการใช้ไฟสูงสุด(พีค)ที่จะอยู่ช่วงบ่าย หรือการหยุดทำงานวันดังกล่าวแล้วไปชดเชยวันอื่นเพื่อให้สำรองไฟฟ้าที่ต่ำสูงขึ้นซึ่งแผนทั้งหมดจะนำมาบูรณาการเป็นแผนใหญ่ร่วมกับส่วนอื่นๆ ที่จะสรุปเป็นภาพที่ชัดเจนวันที่ 14 มี.ค.นี้
ด้านนายจักรรัฐ เลิศโอภาส รองผู้ว่าการ การนิคมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าวังน้อย ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติจากพม่าเป็นเชื้อเพลิงทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากการหยุดซ่อมบำรุงของพม่าส่วนนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกอาจจะมีปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้ เช่น นิคมฯในจังหวัดฉะเชิงเทรา และ จ.ชลบุรีส่วนนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบเพราะพื้นที่นี้มีโรงไฟฟ้าของเอกชนหลายแห่ง เช่น บริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด บริษัทบีแอลซีพี เพาเวอร์ จํากัด บริษัท โกลว์พลังงาน จํากัด
นายวรวุฒิ อนุรักษ์วงศ์ศรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัทที่ดินบางปะอิน จำกัด ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า กนอ.และ กฟภ.ยังไม่ได้แจ้งมาที่นิคมอุตสาหกรรมว่าจะมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าไม่พอใช้ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหรือไม่ โดยผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมต้องการให้ภาครัฐรีบประสานงานมาเพื่อให้โรงงานมีเวลาวางแผน ซึ่งถ้าภาคกลางจะมีปัญหาไฟฟ้าจริงอาจทำให้โรงงานปรับแผนไม่ผลิตในช่วง 8.00-17.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ามาก โดยโรงงานที่ผลิต 3 กะ จะมีความคล่องตัวในการหยุดผลิตช่วงกลางวัน
ด้านนายทวิช เตชะนาวากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมไฮเทค (บ้านหว้า) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การที่รัฐบาลออกมารณรงค์ให้ประชาชนประหยัดพลังงานจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบลดลง และเชื่อว่าภาคเอกชนจะสามารถวางแผนการผลิตได้ เช่น เลื่อนการผลิต เลื่อนวันหยุดให้เร็วขึ้น
ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์พร้อมกับ นายอาทร สินสวัสดิ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และนายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ว่าได้มีการเตรียมไฟฟ้าสำรองแล้ว 4,000 เมกะวัตต์ เชื่อว่าปริมาณไฟฟ้าที่เตรียมไว้เพียงพอต่อการใช้งานเว้นแต่มีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น ซึ่งอาจะมีปรับแผนในการจ่ายไฟในกรณีที่มีเหตุ ดังนั้นเพื่อป้องกันผลกระทบจึงจำเป็นต้องเตือนให้ประชาชนทราบ
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยืนยันว่า ตลท.และบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ ทุกแห่งได้เตรียมระบบไฟสำรองรองรับปัญหาไฟฟ้าตกที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่พม่าหยุดส่งก๊าซให้ไทยระหว่างวันที่ 5-14 เม.ย.นี้ โดยมีระบบ UPS ซึ่งเป็นระบบสำรองตามมาตรฐานสากลที่สามารถสำรองไฟฟ้าได้นาน 1 สัปดาห์
ด้านนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องระบบไฟสำรองอยู่แล้ว โดยไฟสำรอง 2 ระบบ สามารถครอบคลุมทุกพื้นที่ได้ มั่นใจว่าไม่มีปัญหา และที่ผ่านมา ธปท.ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการประหยัดพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ประชาชนแห่กักตุนก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)เพราะตื่นตระหนกปัญหาพม่าหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติในระหว่างวันที่ 5-14 เม.ย.2556 ว่า ยืนยันว่าแอลพีจีในประเทศไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน เนื่องจากโรงแยกก๊าซ ในภาคตะวันออกยังสามารถเดินเครื่องผลิตได้ตามปกติไม่มีผลกระทบจากการหยุดจ่ายก๊าซ ของพม่า ขณะที่การสำรองแอลพีจีในประเทศยังอยู่ในระดับสูงจึงไม่ขาดแคลน
“สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานไปตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซและร้านจำหน่าย รวมถึงสถานีบริการแอลพีจี ไม่ให้มีการฉวยโอกาสกักตุนแอลพีจีในช่วงนี้”
ขณะที่นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงกระแสข่าวมีการกักตุนก๊าซหุงต้มโดยยืนยันว่า ขณะนี้สถานการณ์ก๊าซหุงต้มยังเป็นปกติ
“ประชาชน หรือร้านขายก๊าซทั่วประเทศ ไม่มีความจำเป็นต้องกักตุน ซึ่งกระทรวงพลังงาน มีแผนในการดูแลปริมาณความต้องการใช้ก๊าซอยู่แล้ว และที่สำคัญไม่ควรตื่นตระหนกไปกักตุนสินค้า เพราะอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนได้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี