ll หลังจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาส่งสัญญาณให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้ง 15 แห่ง ได้แสดงสปิริตตามมารยาททางการเมือง โดยเฉพาะในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่บริหารงานแล้วประสบกับการขาดทุน โดยบอร์ดรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง อาทิ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.นั้นประธานกรรมการและกรรมการต่างตบเท้าลาออกกันไปแล้วก่อนหน้า...ขณะที่ นายเอกนิตินิติทัณฑ์ประภาศ ประธานบอร์ดการบินไทย ที่มีข่าวว่าประกาศลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่มีรายงานล่าสุดว่า ทางกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ยับยั้งเอาไว้ เพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบายอีกครั้ง
ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ทั้งบอร์ดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมทั้งบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานบอร์ดรถไฟและคณะจะยื่นใบลาออก ในวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่รายงานล่าสุดยังไม่มีใครเห็นใบลาออกแต่อย่างใด โดยมีรายงานว่ากรรมการรถไฟฯบางส่วนเห็นว่า ไม่ควรลาออกเพราะจะทำให้เกิดสุญญากาในการทำงาน....แต่ผู้ใกล้ชิดนายกุลิศกล่าวยืนยันว่า ประธานบอร์ดรถไฟฯ ได้ยืนยันจะลาออกอย่างแน่นอน เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้มาเป็นบอร์ดรถไฟฯนั้นไม่ใช่งานถนัดของตนเอง และต้องการเปิดทางให้กระทรวงคมนาคมได้พิจารณาหาบุคคลที่เหมาะสมเข้ามาทำหน้าที่มากกว่า
ส่วนกรณีที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการเข้ามาแทรกแซงบอร์ดรัฐวิสาหกิจของนักการเมือง โดยเห็นว่าจะทำให้เกิดนโยบายต่างตอบแทน ก่อให้เกิดการทุจริตตามมานั้น... หากจะมองอย่างเป็นธรรมการเข้ามาของรถไฟก่อนหน้า ก็รับโจทย์มาจากรัฐบาลชุดก่อนให้มาผลักดันโครงการใหญ่ๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลในอดีต ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าบริษัทใดบ้างที่ได้รับอานิสงส์ไปบ้าง ตั้งแต่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3 สนามบิน, โครงการก่อสร้างรถไฟไทย-จีน หรือโครงการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณรถไฟทางคู่ เป็นต้น
สำหรับโครงการค้างท่อที่อยู่ระหว่างดำเนินการของการรถไฟฯนั้น...ก็มีหลายสิบโครงการ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท อาทิ งานก่อสร้างรถไฟไทย-จีน งานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณรถไฟทางคู่มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท และงานติดตั้งระบบ ATP Train borne (Automatic Train Protection) บนรถจักร 70 คัน มูลค่านับพันล้านที่เพิ่งประมูลกันไปหมาดๆ รวมทั้งยังมีโครงการจัดซื้อเครื่องมือกลขนาดเล็กของฝ่ายการช่างโยธา 8 โครงการ มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท....ซึ่งอันนี้ต้องจับตามองเพราะว่า...มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนัก ว่า มีการกำหนดสเปก ที่มีข้อกังขา...และดูเหมือนว่าจะมีแต่ผู้ผลิตของประเทศแถบยุโรปเพียงบางรายที่จะได้ประโยชน์....เพราะมีการกำหนดมาตรฐาน CE และต้องได้รับ ISO มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องมีผลงานส่งออกมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ประเทศ
โดยงานทั้ง 8 โครงการนี้เคยเป็นประเด็นถูกยกเลิกประมูลไปเมื่อ 2 ปีก่อน เนื่องจากถูกนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขุดคุ้ยจนไปต่อไม่ได้ เหตุเพราะส่อว่าการกำหนดสเปกมีปัญหาและราคาสูงกว่า 300% ...จึงเป็นเหตุให้ยกเลิกไปในขณะนั้น ที่สำคัญเจ้าของเรื่องเป็นวิศวกรที่เคย ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตร้ายแรงและโดนฟ้องคดีอาญาในคดีสุขารถไฟฯ....แต่เหตุใดยังได้นั่งบริหารงบประมาณเป็นร้อยๆ ล้าน และในขณะที่มีผู้ร้องเรียน แต่การรถไฟฯกลับเพิกเฉย ยังให้เดินหน้าเปิดประมูลต่อไป....
ต้องยอมรับว่าเรื่อง การเปลี่ยนบอร์ดรัฐวิสาหกิจตามการเปลี่ยนทางการเมือง...และนักการเมืองส่งคนของตัวเองเขาไปนั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ...เป็นประเด็นที่สังคมตั้งข้อกังขามาโดยตลอด...แต่ถ้ามีนักการเมืองดีๆ สักคนที่ตั้งใจแก้ไขในสิ่งผิดมันก็จะดีมากกับประเทศนี้...!! หวังแต่ว่าอย่าเข้าตำรา “สมบัติผลัดกันชม” เลยครับ
...สงสารประเทศไทย...
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี