นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม (อก.)เปิดเผยว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานายปีเตอร์ เฮย์มอนด์ อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้เข้าพบและหารือในประเด็นการค้าและการลงทุน โดยจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เกิดขึ้นขณะนี้ คาดการณ์ว่าจะเกิดการย้ายฐานการลงทุนของสหรัฐ จำนวนหนึ่ง ซึ่งอุปทูตสหรัฐ แจ้งว่ามีความประสงค์จะลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลและพลังงานที่สามารถดึงดูดการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ให้แข่งขันกับนักลงทุนจากประเทศอื่น อาทิ จีน สหภาพยุโรป ได้ โดยแนะนำให้รัฐบาลไทยพิจารณาเรื่องนโยบายจัดซื้อจัดจ้าง ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพของสินค้า รวมทั้งค่าซ่อมอะไหล่และบริการ และค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการใช้งาน มากกว่าประเด็นด้านราคาการซื้อในครั้งแรกแต่เพียงอย่างเดียวให้เป็นแนวทาง
ทั้งนี้ อุปทูตสหรัฐ ยังสนใจร่วมมือกับไทยในธุรกิจสาขาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy-BCG) ที่สหรัฐฯ เชี่ยวชาญ ได้แก่ การจัดการของเสีย การศึกษาวิจัยด้านสุขภาพ และสินค้าที่ต่อยอดจากสินค้าเกษตร เช่น น้ำตาล ปาล์ม โดยธุรกิจ BCG เป็นแนวคิดใหม่ที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าของสินค้าขั้นปลายได้มากขึ้น
“คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน(USABC) ซึ่งประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ อาทิเชฟรอน, ดาวเคมีคอล, เอ็กซอนโมบิล, คอช, 3 เอ็ม, ออราเคิล, ทีอี คอนเน็คทิวิตี้, พีแอนด์จี,เอไอจี ฯลฯ ยืนยันความต้องการที่จะลงทุนในไทยต่อไป” นายสุริยะ กล่าว
นางสาวบงกช อนุโรจน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย ประจำปี 2562 ในงานสัมมนาเรื่อง “ลงทุนไทย 2562 : รุ่งแค่ไหนในสายตาต่างชาติ”โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 600 บริษัท พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจ 97.3% มีแผนการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดย 65.5% ยังคงรักษาระดับการลงทุนในไทย ขณะที่ 31.83% มีแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มเติมปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจขยายหรือรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทยนั้น พบว่าสามอันดับแรก คือ มีวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่เพียงพอ 55% ตามด้วยสองปัจจัย คือ มีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และมีซัพพลายเออร์เพียงพอ ที่ระดับ 51% เท่ากัน
“นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะทรงตัวจากปีก่อนพิจารณาได้จากปริมาณยอดขายในช่วงที่ผ่านมายังมีเท่าเดิมหรือลดลงเล็กน้อย และคาดว่าจะยังทรงตัวต่อไปในอนาคต นักลงทุนต่างชาติโดยรวมมีความพึงพอใจต่อโครงสร้างพื้นฐานของไทยและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้นักลงทุนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วภายในประเทศมีแผนจะขยายการลงทุน” นางสาวบงกชกล่าว
นอกจากนี้ยังพึงพอใจการปรับใช้ระบบออนไลน์ (e-Services) ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยยื่นแบบฟอร์มขอรับการส่งเสริมการลงทุนออนไลน์ได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจากบริการที่ได้รับจากศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (OSOS) และบริการที่ได้รับจากศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เมื่อเทียบกับผลสำรวจของปีที่ผ่านมา
นอกจากปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาเพิ่มขึ้นแล้ว นักลงทุนต่างชาติมีความพึงพอใจต่อสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และแรงงานที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการดำเนินงาน ที่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนต้องการให้บีโอไอพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นแก่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้นวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศให้ครอบคลุมในหลากหลายด้าน เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี