ชมรมฯ นักข่าวไอที จัดเสวนา Bullying&Fake News “รมว.ดีอี” พร้อมฟังความคิดเห็นเพื่อทำงานร่วมกัน ชี้อีก 2 อาทิตย์เตรียมเชือดไก่ให้ลิงดู เอาผิดกลุ่มเฟคนิวส์ที่จับตามาระยะหนึ่งแล้ว ย้ำศูนย์นี้ไม่เป็นเครื่องมือรัฐบาล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวภายในงานเสวนาจิบน้ำชา ครั้งที่ 3/2562 หัวข้อ Bullying&Fake News ทันเกมสารพัดพิษออนไลน์ สังคมไทย จัดโดย ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอทีพีซี) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องปัญหาข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์เพราะสื่อมวลชนผู้นำเสนอข่าวจะมีการคัดกรองและตรวจสอบข่าวอย่างละเอียดก่อนการนำเสนอ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเอื้อให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ผลิตข่าวได้เอง ใครจะเป็นนักข่าวและเผยแพร่ข่าวในโลกออนไลน์ก็ได้ ดังนั้นกระทรวงดีอีจึงต้องตั้งศูนย์ตรวจสอบข่าวปลอมขึ้น โดยอาศัยกลไกทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ศูนย์นี้อยู่อย่างยั่งยืน และไม่กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาล เพราะศูนย์ขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชนและประชาชน ทำให้ประชาชนสามารถเชื่อใจและไว้ใจได้ ช่องทางหนึ่งที่ศูนย์นี้จะเปิดตัวให้ประชาชนมาใช้งานคือเพจการตรวจข่าวปลอมซึ่งนอกจากจะเผยแพร่ข่าวปลอม และ ชี้แจงข่าวจริงแล้ว ก็จะมีแชทบอทเพื่อให้ประชาชนซักถามก่อนทั้งเรื่องข่าวปลอม และการถูกกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ หรือ การถูก Bullying ก่อนจะนำเรื่องที่ถูกกระทำนี้ไปแจ้งความตามกฎหมายต่อไป ซึ่งภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ จะมีการจัดการกับกลุ่มคนที่สร้างข่าวปลอมขึ้นมา เพื่อให้เห็นถึงบทลงโทษที่มีจริง โดยกลุ่มคนดังกล่าวทีมงานได้เฝ้าติดตามมาระยะหนึ่งแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัดว่ากระทำความผิดจริง
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์ หรือ การใช้กฎหมายเอาผิด ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาต้นเหตุ ดังนั้นการให้ความรู้แก่เยาวชนจึงสำคัญ การเพิ่มเติมหลักสูตรให้เยาวชนรู้เท่าทัน เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อกระทรวงมีการหารือกันแล้ว ก็จะเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการต่อไป การทำงานของกระทรวงต้องยึดการทำงานจากการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนด้วย ดังนั้น ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายที่มีโครงการเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็สามารถเสนอความคิดเห็นและแนวทางในการทำงานร่วมกันได้
“หากผมยังอยู่ในตำแหน่ง โอกาส ท็อป ดาวน์ ต้องน้อยมาก เราจึงต้องเน้นการรับฟังจากทุกภาคส่วนและนำมาปรับใช้เป็นนโยบายต่อไป เราจะไม่คิดเอง ทำเอง หรือสั่งให้ใครทำ ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้โอเปอเรเตอร์ทำอยู่แล้ว รู้ดีอยู่แล้ว เราก็จะต้องถามโอเปอเรเตอร์ว่า อยากจะเข้ามาช่วยและมีส่วนร่วมกับกระทรวงได้อย่างไร” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
นางสาวนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าฝ่ายงานนักลงทุนสัมพันธ์และกำกับดูแลการปฏิบัติงาน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสมีโครงการให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ โดยเน้นที่การสร้างความตระหนักให้กับเยาวชนอายุ 8-12 ปี ในการสร้างความฉลาดในโลกยุคดิจิทัล ให้รู้เท่าทันการใช้งานในโลกออนไลน์ด้วยการทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา เนื่องจากผู้ใช้งานในโลกออนไลน์มักคิดว่าเป็นโลกไร้ตัวตน ทำอะไรผิด ก็ไม่คงไม่มีใครรู้ตัวตนว่าเป็นใคร และเห็นว่าใครๆก็ทำกัน จะแชร์หรือให้ความเห็นอะไรก็ได้ ซึ่งโครงการของเอไอเอสจะทำให้เยาวชนสามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะได้ ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถทำให้ศูนย์ยืนยันข่าวปลอม มีการทำงานอย่างโปร่งใส มั่นใจว่าพึ่งพิงได้ สุดท้ายแล้วประชาชนจะรู้เอง และเข้ามาตรวจสอบเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายขู่แต่อย่างใด
ด้านนางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ดีแทค กล่าวว่า เฟคนิวส์ทำให้เกิดเฮท สปีด หรือข้อความเกลียดชัง และเกิดการกลั่นแกล้งกันในโลกไซเบอร์ เรื่องนี้เป็นวาระสำคัญของยูเอ็น ขณะที่กลไกของประเทศสิงคโปร์คือการใช้กฎหมายลงโทษ กลับกันกับประเทศฟินแลนด์ที่ให้เสรี แต่ผู้ปกครองจะตระหนักเองว่าควรมีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยให้กับลูก ดังนั้นจึงต้องหาวิธีการที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ เพราะรูปแบบการกลั่นแกล้งกันในแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ประเทศทางตะวันตกกลั่นแกล้งกันเรื่อง อ้วน แต่ประเทศไทยกลั่นแกล้งกันในประเด็นเรื่องเพศ เป็นต้น ซึ่งดีแทคก็มีโครงการเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เพราะเชื่อว่าการสร้างความรู้ให้กับโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะคุณครู เมื่อมีการสอบถามเด็กๆว่าเวลามีปัญหาจะสอบถามใคร พบว่า 80 % ต้องการถามครู
สอดคล้องกับนางพิมลพรรณ ศิริวงศ์วานงาม ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์การตลาด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทรูฯมีโครงการร่วมกันหลายภาคส่วนเพื่อรณรงค์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์,โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ,สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นต้น ซึ่งต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่มียาแรงและใช้ไม่ได้กับประเทศไทย
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่สามารถใช้กฎหมายลงโทษ หรือ ไล่จับได้ เพราะจะกลายเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ ในยุคที่แห่งเสรีภาพนี้ ดังนั้นควรมองที่การสร้างภูมิคุ้มกัน เหมือนการป้องกันโรคด้วยวัคซีน ซึ่งจะดีกว่ารอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา ซึ่งกองทุนฯก็มีการสนับสนุนในเรื่องนี้มาโดยตลอดเช่นกัน ดังนั้นหากทุกภาคส่วนมีการทำงานร่วมกันก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี