เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมประเมินสถานการณ์ส่งออกไตรมาส 3 ปี 2562 โดยมีภาคเอกชน จากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (สอท.) กลุ่มผู้ส่งออกสินค้าสำคัญทั้งข้าว น้ำตาล ยางพารา สมาคมอาหารสำเร็จรูป สมาคมอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม สมาคมผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไทย รวมถึงภาคเอกชนในตลาดใหญ่ อย่างสภาธุรกิจไทย-อินเดีย และสภาธุรกิจไทย-จีน เข้าร่วม
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในการประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมยังคงยืนเป้าหมายการส่งออกตลอดทั้งปี 2562 จะคงอัตราการเติบโตไว้ที่ 3% ตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ส่วนปี 2563 ตั้งเป้าหมายการส่งออกเติบโตไว้ที่ 3.5% ซึ่งเรื่องนี้พบว่าเอกชนมองสวนทางกัน
โดยภาคเอกชนมองว่าการส่งออกในครึ่งปีหลังนี้จะมีอัตราการเติบโตเพียง 0.9% โดยเป็นการปรับลดลงจาก 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะติดลบ 1% ทั้งนี้จากการประเมินของสถานการณ์ดังกล่าว หมายความว่า การส่งออกที่จะตามเป้าหมาย 3% นั้น ตัวเลขการส่งของของประเทศในทุกเดือนหลังจากนี้ต้องมีตัวเลขการส่งออกอยู่ที่ 23,000 ล้านเหรียญยูเอส ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ แต่ก็ยังตั้งเป้าหมายไว้ที่เดิม
“แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นไม่ได้ โดยในอนาคตแผนงานหรือกลไกทางการตลาดในรูปแบบเดิมๆ ที่เคยใช้ในทำการตลาดเพื่อกระตุ้นการส่งออกนั้น อาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้กระชับ สั้น และใช้ได้ผลอย่างรวดเร็ว”นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าว
สำหรับแนวทางการดำเนินงานผลักดันการส่งออกช่วงที่เหลือของปีนี้ จะเน้นให้มีแนวทางทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เพื่อผลักดันการส่งออก
อย่างเต็มรูปแบบ และแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคที่มีอยู่ โดยจะมีการปรับมาตรการส่งสริมการส่งออก อาทิ การจัดงานแสดงสินค้าปีละ 2 ครั้ง จะมีการประเมินใหม่ว่าเหมาะสมที่จะจัดถึง 2 ครั้งหรือไม่ และควรนำสินค้าประเภทใดเข้ามาจัดแสดงบ้าง เพื่อให้สินค้าทันกับยุคและสมัยมากขึ้น โดยจะเน้นไปที่การกระตุ้นตลาดหลักที่มีศักยภาพ อาทิ จีนและอินเดีย รวมถึงตามตลาดเก่ากลับมาด้วย เนื่องจากมีบางตลาดที่หายไปในระยะหลัง อีกทั้งจะมีการเน้นให้ผู้ประกอบการส่งออกไทยจับคู่ทางธุรกิจมากขึ้น อาทิ สินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง และสินค้าสุขภาพ
“ช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีสินค้าส่งออกไทยหลายประเภท ที่คาดว่าจะส่งออกได้ดี อาทิ อาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ที่มีการขยายตัวเป็นบวกเพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังมีสินค้าที่อาจจะติดลบคือ สินค้ากลุ่มที่อยู่ภายใต้ห่วงโซ่อุปทานของสงครามการค้า อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยในส่วนของยางพารา มองว่าต้องมีการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการใช้ และปริมาณการผลิต รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำการตลาดต่อไป ซึ่งจะต้องกลับมาคิดถึงการแปรรูปมากขึ้น ทั้งขั้นตอนของการแปรรูปเป็นสินค้า และสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น”นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี