นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)เปิดเผยว่า ไทยเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับในการทิ้งขยะลงสู่ทะเลมากสุดเป็นอันดับ 6 ของโลกซึ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกสอท.ร่วมดำเนินโครงการความร่วมมือภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาขยะและพลาสติกอย่างยั่งยืนหรือ PPP Plastic เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 ล่าสุดมีสมาชิก 34 องค์กร โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนขยะพลาสติกกลับมาเป็นทรัพยากรและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)รวมถึงการให้ความรู้และความเข้าใจในการจัดการพลาสติกหลังการใช้เพื่อให้สามารถลดขยะพลาสติกในทะเลไทยได้ไม่ต่ำกว่า 50% ในปี 2567 โดยขณะนี้ได้มีการหารือกับภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนด้วยการออกมาตรการในภาคบังคับหลายด้าน
“การจัดการขยะเอกชนทำคนเดียวไม่ได้ต้องร่วมกับรัฐเราอยากให้มีการประชาสัมพันธ์ในการคัดแยกขยะซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน้าที่รัฐ ขยะบางส่วนยังสามารถไปทำโรงไฟฟ้าได้สิ่งนี้ต้องหนุนอย่างเต็มที่การฝังกลบคงไม่ใช่คำตอบทั้งหมดต้องมีการแก้ไขกฎหมายขยะให้เป็นวาระแห่งชาติ” นายสุพันธุ์กล่าว
สำหรับ PPP Plastic ได้วางกรอบการดำเนินงานไว้ 6 เสาหลัก ได้แก่ 1.การจัดการขยะและสร้างโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกโดยทำกรณีศึกษาในเขตเมืองพื้นที่ 7 แห่ง ในเขตคลองเตยคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2563 และภูมิภาคในพื้นที่องค์กรบริหารส่วนจังหวัดระยองที่ภายในปี 2563 จะมีก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะเพื่อจัดการขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 2.การพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรม เช่น การนำเศษพลาสติกไปผสมยางมะตอยทำถนนลาดยาง ฯลฯ 3.กิจกรรมสื่อสารประชาสัมพันธ์ 4.การทำงานร่วมภาครัฐเพื่อพัฒนานโยบายและกฎหมายต่างๆ 5.การจัดทำฐานข้อมูลขยะพลาสติก และ 6.การหาเงินทุนและงบประมาณ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสอท. กล่าวว่า ภาคธุรกิจกำลังมุ่งสู่โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐกำลังผลักดันคือ Bio Economy, Circular Economyและ Green Economy โดยการจัดการขยะพลาสติกของไทยถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะในข้อเท็จจริงพลาสติกไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือนิสัยและพฤติกรรมจากคนที่ทิ้งขยะไม่ถูกวิธี ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นเรื่องยากสุด
นายอภิภพ พึ่งชาญชัยกุล รองประธานกลุ่มอุตฯพลาสติก สอท.กล่าวว่า PPP Plastic อยู่ระหว่างการหารือกับภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการออกมาตรการบังคับทางกฎหมายที่จะกำหนดให้ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีของภาครัฐนำร่องจำหน่ายถุงพลาสติกให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการแทนการให้ฟรีเช่นปัจจุบันโดยเบื้องต้นได้เสนอไว้ที่ระดับ 2 บาทต่อถุง แล้วนำเงินรายได้ดังกล่าวมาจัดสรร 3 ส่วน ได้แก่ 1.จำนวน 25 สตางค์ให้ห้างฯ ร้านดังกล่าวนำไปทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร(CSR) 2.จำนวน 50 สตางค์ส่งเข้ากองทุนพลาสติกที่บริหารโดยสถาบันพลาสติกสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมมาดำเนินงาน และ 3.จำนวน 1.25 บาท มอบให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินำไปบริหารจัดการขยะภาพรวม
“กำลังคุยกันในคณะอนุกรรมการจัดการขยะพลาสติกซึ่งอยู่ภายใต้บอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยคณะนี้ก็มีตัวแทนจากคลังอยู่ด้วยแล้ว เพราะเรื่องนี้บอร์ดสิ่งแวดล้อมเองต้องการให้คลังพิจารณากฎหมายด้านภาษีที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ต้องการให้ออกมาตรการแล้วมีปัญหาโดยเฉพาะในเรื่องของรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายถุงเพราะจะเป็นเรื่องของกำไรที่เห็นว่าส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้นิติบุคคลจึงไม่อยากให้นำมารวมไว้ เบื้องต้นกองทุนภายใต้สถาบันพลาสติกนี้จะมีเงินราว 200-300 ล้านบาทต่อปี ซึ่ง PPP Plastic สามารถของบส่วนนี้มาดำเนินงานได้ คาดว่าแนวทางทั้งหมดจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ในปี 2563” นายอภิภพกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี