นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมวอร์รูมภาครัฐเอกชน กระทรวงพาณิชย์ หรือกรอ.พาณิชย์ ว่า ได้หารือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกผลิตผลทางการเกษตรข้าวกับและมันสำปะหลัง เพื่อเร่งรัดการส่งออก
จากการประชุมเรื่องข้าวได้ข้อสรุปร่วมกันว่านอกจากมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 27 สิงหาคม 2562 โดยใช้วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาทก็จะเร่งรัดการส่งออกควบคู่กันไปด้วย เพราะที่ผ่านมายอดการส่งออกตัวเลขลดลง ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ข้าวของไทยในตลาดโลกในสายตาประเทศผู้บริโภคแพงขึ้นและเพราะไทยสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งบางส่วน
ตลาดที่จะเร่งรัดเป็นพิเศษในระยะเวลาอันสั้นนี้ก็คือ 1) อิรัก ซึ่งเป็นตลาดเดิมของไทยในอดีต แต่ได้สูญเสียไปเพราะมีบริษัทส่งข้าวไม่มีคุณภาพให้กับอิรัก ทำให้ความสัมพันธ์การค้าข้าวระหว่างไทยกับอิรักเสียหาย กระทรวงพาณิชย์ จะดำเนินการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิรัก และจะร่วมมือกันทั้งส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนในการฟื้นตลาดอิรักใหม่ โดยจะเร่งรัดการเจรจาการค้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือ G to G กับอิรัก ซึ่งได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศไปดำเนินการ ล่าสุด อิรักได้แจ้งความประสงค์ที่จะค้าข้าวแบบ G to G เป็นหลัก ต่อจากนี้ไปสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กระทรวงพาณิชย์จะเร่งกำหนดแผนปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะดำเนินการเจรจาการค้าที่อิรักด้วยตนเอง ทั้งภาครัฐและเอกชน
ตลาดที่ 2 คือจีน เพราะที่ผ่านมาได้มีการทำ MOU ระหว่างไทยกับจีนที่จีนจะรับซื้อข้าวจากประเทศไทย 1 ล้านตันแต่ยังมีค้างท่ออยู่ 3 แสนตัน ซึ่งจะเจรจาขอให้จีนรับซื้อข้าวหอมมะลิหรือข้าวหอมจากประเทศไทยแทนข้าวขาวมากขึ้นในโควตาค้างท่อที่ว่านี้
ตลาดที่ 3 ฟิลิปปินส์ซึ่งได้ปรับจากระบบโควตาเป็นระบบนำเข้าข้าวโดยภาคเอกชนเพราะฉะนั้นภาคเอกชนของฟิลิปปินส์ที่นำเข้าข้าวกับภาคเอกชนไทยที่ส่งออกข้าว ก็ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พบปะกันอย่างจริงจัง กระทรวงพาณิชย์จะเป็นตัวกลางจัดการพบปะระหว่างผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ผู้ส่งออกข้าวจากประเทศไทยในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเร็ว
ตลาดที่ 4 ตลาดญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอให้ญี่ปุ่นขยายโควตาในการนำเข้าข้าวจากประเทศไทยให้มากขึ้น
ส่วนมันสำปะหลังที่ประชุมได้หารือ 2 เรื่องคือ1.สถานการณ์ของโรคใบด่างซึ่งขณะนี้ระบาดแล้วประมาณ 9 จังหวัด โดยจะรีบสรุปมาตรการป้องกันการระบาดและจะสนับสนุนในเรื่องต้นพันธุ์ในจังหวัดอื่นๆ ให้สามารถปลูกมันสำปะหลังเพื่อนำไปสู่การส่งออกและนำรายได้เข้าประเทศต่อไป ภายในสัปดาห์นี้จะหารือร่วมกันของภาคเอกชนกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนการเปิดตลาดที่ต้องเร่งรัดเป็นพิเศษคือ 1.จีน ซึ่งมีศักยภาพสูงในการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศไทย โดยเฉพาะจีนตอนใต้ที่จะเอาไปทำอาหารสัตว์ โดยใน 2 สัปดาห์นี้จะมีคำตอบว่าจะดำเนินการในรูปแบบใด
ตลาดที่ 2 คือ อินเดีย ซึ่งมีศักยภาพและเป็นตลาดที่ขยายได้ในอนาคต โดยเฉพาะแป้งมันที่นำไปใช้ทำอาหารและซอสปรุงรส ส่วนตลาดที่ 3 เป็นตลาดใหม่โดยเฉพาะอาหารสัตว์ที่ใช้มันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบ เช่น ตุรกี ตลาดนิวซีแลนด์ แต่ว่า 2 ตลาดนี้ยังขาดความเข้าใจเรื่องของการใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยที่จะนำไปทำอาหารสัตว์ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการนัดพบผู้นำเข้าจากตุรกีและนิวซีแลนด์ให้กับผู้ส่งออกอาหารสัตว์ของประเทศไทยต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี