ทีโอที” กางแผนธุรกิจปี 2563-2567 ส่งครน. คาดการณ์รายได้ปี’62 ทะลุ 5 หมื่นลบ. “ประธานบอร์ด” เผย ปรับแนวคิดดัน “ทีโอที” เน้นหน่วยงานรัฐ สนองนโยบายรัฐ ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กร หาพันธมิตร - แปลงสินทรัพย์เป็นทุน - เพิ่มศักยภาพบุคลากรรับธุรกิจใหม่
น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 ที่ผ่านมาได้มีการประชุมบอร์ดบริหาร โดยได้นำเสนอแผนวิสาหกิจและแผนธุรกิจทีโอที ปี 2563-2567 ให้บอร์ดพิจารณาเห็นชอบ เพื่อจัดส่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจต่อไป
อย่างไรก็ตามแผนธุรกิจดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมจากปัจจัยภายในและภายนอกโดยทีโอที มีจุดแข็ง ในเรื่องของ ทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ท่อร้อยสาย เสาโทรคมนาคม และคลื่นความถี่ และมีที่ดิน อาคารชุมสายในพื้นที่เศรษฐกิจที่นำมาใช้ได้ อย่างไรก็ดีทีโอทีเป็นหน่วยงานของรัฐ สามารถตอบสนองนโยบายของภาครัฐในรูปแบบ รัฐต่อรัฐ (G2G) รวมถึงมีเงินสดคงเหลือจำนวนมากจากรายได้พันธมิตรในปี 2561-2568 และมีฐานลูกค้าที่เป็นบริการโทรศัพท์ประจำที่มากที่สุดในประเทศ
ขณะเดียวกันทีโอทียังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่รัฐบาลมีนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้ตลาดบรอดแบนด์ความเร็วสูงทางสายและไร้สาย นโยบายลดความซ้ำซ้อนของการลงทุนและการจัดระเบียบเมือง ส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดิจิทัลโดยให้ภาคเอกชนมาเช่าใช้โครงข่าย รวมไปถึงการพัฒนาเขรเศรษฐกิจพิเศษ หรือ ECC เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ทำให้เกิดความต้องการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดิจิทัลของประเทศเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ทีโอทีมีแผนกลยุทธ์ที่จะทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ คือ 1. การหาพันธมิตร 2.นำทร้พย์สินและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่สร้างรายได้ 3.เพิ่มศักยภาพของบุคลากรที่มีอยู่ให้มีทักษะความเชี่ยวชาญเพื่อรองรับบริการธุรกิจดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นใหม่
สำหรับประมาณการณ์รายได้ปี 2562 ทีโอที คาดจะมีรายได้รวม 55,046 ล้านบาท โดยมีรายได้จากพันธมิตร ราว 31,082 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการเช่าใช้โครงข่ายบนคลื่น 2100 MHz กับบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN และ บริษัท ซุปเปอร์บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ SBN ซึ่งทั้งสองบริษัท เป็นบริษัทลูกของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ราว 12,501ล้านบาท, รายได้จากการเช่าใช้โครงข่ายบนคลื่น 2300 MHz กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค 13,367ล้านบาท, รายได้ให้เช่าอุปกรณ์โทรคมนาคม 1,000 ล้านบาท ,รายได้จากให้เช่าพื้นที่บนเสาโทรคมนาคม 4,213 ล้านบาท, ส่วนรายได้จากการดำเนินการเองของทีโอที ราว 23,964 ล้านบาท แบ่งเป็น บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ 10,132 ล้านบาท, บริการโทรศัพท์พื้นฐานประจำที่ 6,533 ล้าบาท, บริการเสาโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน 2,748ล้าบาท, โครงการพิเศษ 3,085 ล้านบาท, และบริการดิจิทัล 1,399 ล้านบาท
“สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือวันนี้ นโยบายของ กสทฯ ทีโอที อยู่ในสังคมเดินได้ไปข้างหน้าอย่างแน่ ถ้าทีโอที กสทฯ เป็นรัฐวิสาหกิจ เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เลย เราเป็นหน่วยงานที่ดูแลเทคโนโลยีดิจิทัล เราเป็นในฐานะเจ้ากระทรวง ต้องพาทีโอที กสทฯ ไปหางาน หน่วยงานราชการ เราคงไปต่อสู้ เอไอเอส ดีแทค ทรู เค้าไม่ได้ ไปหาลูกค้าแบบเค้าไม่ได้ เราต้องหันไปหาหน่วยงานราชการ เช่นกระทรวงมหาดไทย หันเอาศักยภาพที่เรามี ไปหางาน เพราะเรากำลังทำโครงสร้างพื้นฐาน ทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ โยงให้มาที่ตัว เพิ่มศักยภาพไฟเบอร์ออฟติก ให้กระจายในหมู่บ้าน เช่น โครงการ GIN ควรใช้โครงข่ายของรัฐทำให้เกิดอินทราเน็ต ในระบบราชการ พอเชื่อมโยงในหน่วยงานราชการแล้วค่อยนำไปสู่ประชาชน เราอย่ามองเค้าว่าเป็นผู้จดใบอนุญาตประเภทที่ 3 จาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถ้ามองแบบนั้นเราสู้เค้าไม่ได้”
นอกจากนี้ประเด็นการควบรวมของ 2 หน่วยงานภายใต้สังกัด ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เรื่องควบรวมนั้นคือเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยกระทรวงการคลังที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีโอที หลักการที่พอ รมว.ดีอีคนใหม่มาหลักการบริหารราชการแผ่นดิน ต้องนำกลับมาดูตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ การควบรวม ไม่ควบรวม มีประโยชน์หรือไม่นั้น ซึ่ง 2 หน่วยงานต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ถือว่าเป็นประเด็นเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญของการบริหารงานของ รมว.ดีอีท่านนี้ ซึ่งขณะนี้ ยังไม่ได้เจรจาซึ่งรอผลการสรุปจากคณะทำงานที่มีปลัดดีอีเป็นประธานอีกครั้ง
ส่วนประเด็นโครงการการให้บริการโทรศัพท์และการสื่อสารทางไกลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบโซน C หรือ โครงการ USO Net ของ กสทช.ที่ทีโอที ไม่สามารถส่งมอบได้เนื่องจาก ทีโอทีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข และส่งมอบงานล่าช้า ล่าสุด ทีโอที ได้เร่งรัดดำเนินการเจรจากับ กสทช. ในการแก้ไขสัญญา เพื่อให้สามารถส่งมอบงานได้ ส่วนสัญญาการติดตั้งไฟเบอร์ออฟติก ทีโอที ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กับ คณะกรรมการพิจารณาพัสดุ (กวพ.) กรมบัญชีกลาง ตีความปัญหาเรื่องนี้ และคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ กวพ.ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ และคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะแล้วเสร็จอย่างช้อไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย.นี้แน่นอน
“ต้องแยกออกเป็นสัญญาไป ไฟเบอร์ออฟติก กสทช.กำหนดให้ใช้ของผลิตภัณฑ์ภายในประเทศไทย ทีโอที ส่งไปพิจารณาอยู่ ทีโอที เคยมีการซื้อเน็ตประชารัฐ และมองว่า ไปใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างปี 46 ซึ่งไปโยงกับพ.ร.บ.ปี 35 ยึดระเบียบตัวนี้ แต่กสทช.กำหนดทีโอทีมา ให้ใช้ของไทย ทีโอทีคิดว่าสอดคล้องกัน ให้กวพ.ตีความปัญหาเรื่องนี้ คาดจะเข้าสู่การพิจารณาวันที่ 19 กันยายน นี้ สิ่งที่ทำเป็นผลที่ถูกต้องตามระเบียบพัสดุหรือไม่ คาดว่ากระบวนการต่างๆ จะดำเนินให้แล้วเสร็จ อย่างช้าไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย.นี้ แยกสัญญาจาก เรื่องของการตรวจรับ ขณะนี้เราต้องปฏิบัติตามระเบียบผู้ว่าจ้างให้ดำเนินการ เพียงแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไปตอบหรือแก้ข้อต่างให้ได้ ทีโอที พยายามเจรจากับ กสทช. ว่าสิ่งที่ทีโอทีทำอยู่ เราต้องอ่อนน้อยถ่อมตน การจ่ายเงินเป็นการจ่ายเงินครั้งเดียว ค่าปรับ จะเสียมากเสียน้อย อยู่ของเหตุผลที่เราจะไปแก้ต่างให้แก้ต่างของ กสทช. จะทำใ้ห้ทราบว่าค่าปรับจะเท่าไหร่” น.อ.สมศักดิ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี