ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิษณุ สนองเกียรติ ทนายความกลุ่มพิทักษ์สิทธิ์ลูกหนี้ ได้เคลื่อนไหวอีกครั้งในการติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กรณีที่บริษัทรับจำนำทะเบียนรถถูกฟ้องร้องว่า กระทำการผิดกฎหมาย ด้วยการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยล่าสุดนายวิษณุ เปิดเผยว่าได้ยื่นหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจปล่อยกู้โดยมีทะเบียนรถเป็นหลักประกันของกลุ่มธุรกิจการเงินแห่งหนึ่ง ที่พบว่า ซึ่งเคยมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียม และค่าบริการเงินกู้ในรูปแบบต่างๆ ที่สูงถึง 30%-50% ต่อปี เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งยังมีพฤติกรรมกำหนด ข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่นๆ เพื่อปิดบังการเรียกเก็บ ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กำหนด ตามพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 และ พ.ศ.2560
นายวิษณุ กล่าวอีกว่าจากการตรวจสอบพฤติกรรมกระทำความผิดของกลุ่มธุรกิจดังกล่าวพบว่า มีการให้กู้ยืมเงิน หรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้เงินเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือกำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องเงินกู้ยืม ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ประโยชน์ที่ได้นั้น มากเกินส่วนสมควรของการกู้ยืมเงิน ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654และความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ. 2475 และ พ.ศ.2 560 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2560 เป็นต้นมาซึ่งที่ผ่านมากลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ได้รับการร้องเรียนจากลูกหนี้จำนวนมากของบริษัทดังกล่าวว่า บริษัท คิดดอกเบี้ยเกินกว่า 15% ต่อปีซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่า บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคาร ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของธปท.และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลโดยทั่วไปเช่นเดียวกับสถาบันการเงิน
ทั้งนี้การที่บริษัทดังกล่าว อ้างว่า เป็นสถาบันการเงินสามารถคิดดอกเบี้ยได้มากกว่า 15% นั้น กลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ จึงขอให้ทาง ธปท.เร่งตรวจสอบว่า บริษัทดังกล่าว กระทำการผิดต่อ ประกาศธปท.ที่ สนส. 80/2551 เรื่องหลักเกณฑ์การปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าบริการต่างๆและเบี้ยปรับต้องระวางโทษตามมาตรา 125 ตามพระราชบัญญัติสถาบันการเงิน 2551 หรือไม่
ก่อนหน้านี้การตรวจสอบของธปท.ที่มีความเข้มงวดมาก และจะมีการบรรเทาความเสียหายให้แก่ลูกหนี้ โดยสั่งให้บริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกันนี้ ที่กระทำความผิด ต้องคืนดอกเบี้ยส่วนเกินแก่ลูกหนี้ ทั้งในส่วนของพอร์ตลูกหนี้ รวมถึงลูกหนี้ที่ปิดบัญชีไปแล้วนั้น แต่กับกรณีของบริษัทดังกล่าว ไม่แน่ใจว่า ธปท.ได้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่มีรายงานในเรื่องนี้ หรือไม่พบการกระทำความผิดใดๆ เลย ทั้งที่มีการร้องเรียนกันมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบจงใจ ละเว้น ไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ของธปท.ยังไม่เคยมีการตรวจสอบ กลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ ร้องขอความกรุณาให้ธปท.ทำการตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารแห่งหนึ่งได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทดังกล่าวมาว่าได้คิดดอกเบี้ยเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ มีการจัดทำสัญญาอันเป็นการปกปิดอำพรางสัญญาเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี