ต้องเลื่อนกำหนดลงนามไปอีก 10 วัน สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา)
จากเดิม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม ขีดเส้นตาย (Deadline) ลงนามไว้วันที่ 15 ตุลาคมนี้ แต่จำเป็นต้องขยับออกไป จากเหตุผลหลายประการ
จนเป็นเหตุให้ “อนุทิน” สะท้อนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กระทั่งสื่อนำเอาไปพาดหัวทำนองว่า “อนุทิน” ถามแรง! ใครกันแน่เอาเปรียบรัฐ เลี่ยงประมูล จี้เอาปากกามาเซ็นสัญญา “ไม่พูดเยอะ ...เจ็บลิ้นไก่”
หากสื่อวิเคราะห์ว่า เพราะรำคาญหลังกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร(กลุ่ม CPH) โยกโย้ไม่เซ็นสัญญา โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน
นอกจากความดื้อแพ่งดังกล่าว ยังมีอีก2ประการ คือ จากคณะกรรมการ (บอร์ด) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ลาออกทั้งคณะ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
ประกอบกับการลงนามในสัญญาครั้งนี้ จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากบอร์ด ดังนั้นต้องมีการตั้งบอร์ด รฟท. ชุดใหม่ก่อน จึงจะลงนามสัญญาได้
ปมปัญหาสำคัญนี้ ใกล้จะคลี่คลายแล้ว เพราะล่าสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า “กรณีบอร์ด ร.ฟ.ท.ลาออก ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้พิจารณาอย่างเร่งด่วน และส่งกลับรายชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมมายังกระทรวงคมนาคมแล้ว ขั้นตอนต่อไปเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ และเรียกประชุมทันที เพื่อให้ทันกับกำหนดวันลงนามสัญญาในวันที่ 25 ต.ค.ที่จะถึง ดังนั้นตอนนี้ปัญหาบอร์ดก็ไม่มีแล้ว
ขณะที่อีกปมปัญหาของการเจรจาร่างสัญญาโครงการยืดเยื้อมาร่วมปี อย่างการจัดทำรายละเอียดแนบท้ายสัญญา ประเด็นแผนส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างโครงการ
แม้ก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกับว่า ปัญหาที่คาราคาซัง เพราะทางเอกชนต้องการให้แผนส่งมอบพื้นที่มีความชัดเจน เรื่องไทม์ไลน์ของการส่งมอบ พร้อมทั้งต้องการให้ รฟท. มีความพร้อมส่งมอบพื้นที่อย่างสมบูรณ์ 100% เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นด้านการเงิน
แต่ท้ายที่สุด ต้องยอมรับว่า การก่อสร้างเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ไม่มีโครงการใดที่จะสามารถส่งมอบพื้นที่ครบ 100% แต่จะมีทางเลือกคือ การลงนามสัญญา ทยอยส่งมอบพื้นที่เพื่อเคลียร์หน้าดินให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงจะออกหนังสือเริ่มงานก่อสร้าง หรือ Notice to Proceed (NTP) เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง และสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี
แต่ท้ายที่สุดปมปัญหาส่งมอบพื้นที่ ขณะนี้ถือว่า ได้ตัวกลางอย่าง คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เข้ามาเคลียร์ใจ
ขณะเดียวกันมีคำสั่งให้ รฟท.เตรียมความพร้อมลงนามสัญญาร่วมทุนกับเอกชน เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้เจรจาบนพื้นที่ของเอกสารยื่นข้อเสนอโครงการ (RFP) แล้ว รวมทั้งหลังลงนามสัญญา รฟท.ก็มีความพร้อมส่งมอบพื้นที่ให้กลุ่มซีพีทันที 72% ของพื้นที่ก่อสร้างโครงการ หรือราว 3,000 ไร่ ซึ่งสูงกว่าข้อกำหนดใน RFP ที่กำหนดให้ รฟท.ส่งมอบพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50% ของพื้นที่ก่อสร้างโครงการ
อย่างไรก็ดี ปมปัญหาส่งมอบพื้นที่ จะได้ความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะมีการเสนอแผนส่งมอบพื้นที่ที่มีความพร้อมอยู่ราว 72% ให้คณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานอนุกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นรองประธานอนุกรรมการ พิจารณาในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะแผนการเคลื่อนย้ายสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน จะมีการเคลื่อนย้ายอย่างไร และใช้งบประมาณเท่าไหร่
ท้ายที่สุดจนถึงวันนี้ ทุกปมปัญหาเห็นจะคลี่คลาย ได้ แต่หวังว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเดินหน้าโปรเจ็กต์ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน ให้หลุดพ้น “โรคเลื่อน” ที่ยิ่งช้ายิ่งก่อปัญหาให้ประเทศและส่วนรวม โดยเฉพาะกลไกขับเคลื่อนการลงทุน และเศรษฐกิจของประเทศ เป็นพระเอกชูโรงแทนภาคส่งออกในภาวะ “สิ้นหวัง” ให้สามารถขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้..!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี