‘รฟท.-CPH’ลุยไฮสปีด
เชือม3สนามบิน
วงเงินกว่า2.2แสนล้าน
ลงนามเซ็นสัญญาชื่นมื่น
นายกประยุทธ์สักขีพยาน
ย้ำต้องเชื่อมต่อไปถึงจีน
“ร.ฟ.ท.” จับมือ “CPH” เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เซ็นสัญญาเดินหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่ากว่า2แสนล้าน “บิ๊กตู่”บอกเป็นก้าวใหม่ของการพัฒนาประเทศอนาคตต้องเชื่อมต่อถึงจีน
ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม เวลา 13.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) โดย นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่า รฟท. และบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร) หรือกลุ่ม CPH โดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์
รวมไปทั้งพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ เพื่อสนับสนุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดย นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยนายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่า รฟท. และบริษัท รถไฟความเร็วสูง สายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร)
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ระบุสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน มีแนวเส้นทางเชื่อมโยงท่าอากาศยานสำคัญของประเทศ โดยเริ่มต้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง วิ่งตรงเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ ผ่านสถานีมักกะสัน เลี้ยวเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มุ่งหน้าต่อไปตามแนวทางรถไฟสายตะวันออก ผ่านแม่น้ำบางปะกง เข้าสู่สถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา และเข้าสู่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นสถานีสุดท้าย ระยะทางรวม 220 กิโลเมตร โดยขบวนรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยการลงนามสัญญาครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและนับเป็นครั้งแรกของรัฐบาลที่ได้ผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ที่มีมูลค่าสูงถึง 224,544 ล้านบาทโดยที่ประเทศได้ประโยชน์สูงสุดจากข้อตกลงสัญญาสัมปทานโดยมีกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ 119,425 ล้านบาทปรากฏว่ากลุ่มเอกชนเสนอกรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุน 117,226 ล้านบาทส่งผลให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 2200 ล้านบาทภายใต้สัญญาร่วมลงทุน 50 ปีอีกทั้งทรัพย์สินทั้งหมดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา
ต่อมาเวลา 14.00 น.พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ดีใจกับก้าวหน้าของโครงการฯ เพราะเห็นว่าเราทำงานขับเคลื่อนเรื่องนี้มากว่า 2 ปีแล้ว วันนี้ถือเป็นการนับหนึ่งลงนามสัญญาในการเริ่มก่อสร้าง โดยมีหลายภาคส่วนมาร่วมมือกัน ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นไม่เพียงแต่เป็นการเชื่อมทั้ง 3 สนามบิน ยังเชื่อมต่อโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงสามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศอื่นด้วย สำหรับภาพรวมในการลงทุนขั้นต้นกว่า 2 แสนล้านบาท โดยเราจำเป็นต้องพัฒนาประเทศไทย ทั้งในเรื่องทางบก รถไฟฟ้าความเร็วสูง ทางอากาศ รวมถึงท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด ทั้งหมดคือการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ และวางอนาคตที่เป็นความร่วมมือของ 3 ประเทศร่วมกัน โดยวันนี้ยังมีอิตาลีมาร่วมด้วยในส่วนของการเดินรถ ตามสัญญาการร่วมทุน Public Private Partnership หรือ PPP ซึ่งเป็นการลงทุนใหม่ของเราที่มีกฎหมายกำกับควบคุมทุกตัว ขอให้เชื่อมั่นไว้วางใจว่าเราเดินหน้ามาถึงจุดนี้ได้ ถือว่าเดินมาก้าวหนึ่งแล้ว และขอให้ทุกคนสนับสนุนให้เดินไปสู่ก้าวที่สองให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนการก่อสร้างคาดทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญา แต่ทั้งนี้ เราได้หาทางออกไว้แล้วในกรณีที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อย่างกรณีการรื้อย้ายสาธารณูปโภคเดิมที่กีดขวางในเส้นทางการก่อสร้าง ก็จำเป็นต้องแก้ปัญหาให้ในฐานะความรับผิดชอบของรัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้เป็นเจ้าภาพในการประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผลงานนี้ถือว่าเป็นผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วที่ปัญหายังไม่จบ และรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ได้สานต่อในการเรื่องการลงนามสัญญาก่อร้าง
“ความมุ่งหมายเราจะต้องมองไปยังอนาคตข้างหน้า เพราะถ้ามองปัจจุบันก็จะเห็นแต่ปัญหาของเรา เห็นถึงการที่จะต้องดูแลประชาชนของเรา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีรายได้เพิ่ม อาจไม่เร็วนัก เพราะจะต้องใช้เวลาก่อสร้าง แต่สิ่งสำคัญเมื่อสำเร็จ จะเกิดผลหลายอย่าง ทั้งผลต่อเศรษฐกิจ การจ้างงาน การขยายเมืองใหม่ การเพิ่มพื้นที่เขตเศรษฐกิจใหม่ อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องลดผลกระทบที่จะเกิดต่อประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยทุกสถานีที่รถไฟจอดล้วนมีโอกาสเติบโตทั้งสิ้น ทำให้เกิดการเชื่อมต่อเส้นทางและเปิดพื้นที่เชื่อมต่อพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศการขนส่งสินค้า เกี่ยวข้องการโลจิสติกส์ของไทย ตลอดจนรถไฟรางคู่ เครื่องบินก็จะมาจอดยังพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่ต้องห่วง เชื่อว่ารัฐบาลสามารถขับเคลื่อนได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า เมื่อลงนามสัญญาแล้ว นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะทำงานด้านการส่งมอบพื้นที่จะเร่งรัดดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้ ยืนยันว่าใช้หลักธรรมาภิบาลในการดำเนินการ และนำสัญญาและเอกสารแนบท้ายมาเผยแพร่กับสื่อมวลชน เพื่อช่วยกันดูว่ามีสิ่งใดที่ยังไม่ทำตามสัญญา เพราะคลาดเคลื่อนหลายเรื่อง เช่น การปรับร่างสัญญาหลัก หรือใส่เงื่อนไขเอื้อเอกชน ซึ่งไม่มีการทำแบบนั้นเลย ทุกอย่างยึดตามทีโออาร์
ด้านนายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่า รฟท.กล่าวว่าสิ่งแรกที่ต้องทำหลังเซ็นสัญญา คือ ออกแบบก่อสร้างของโครงการ ซึ่งกลุ่ม CPH ต้องส่งผู้รับเหมาก่อสร้างมาหารือกับ รฟท.ในฐานะเจ้าของโครงการ เพื่อร่างแบบก่อสร้างและทำแผนส่งมอบพื้นที่ที่มีข้อยุติร่วมกันต้องร่างแบบให้เสร็จใน 3 เดือน” นายวรวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้จะเข้าพื้นที่สำรวจการเวนคืนที่ดินตาม พ.ร.ฎ.เวนคืน และสำรวจผู้บุกรุกเคลียร์สัญญาเช่า รวมถึงแผนรื้อย้ายสาธารณูปโภคร่วมกับ 8 หน่วยงาน เพื่อส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้เสร็จใน 2 ปี ช่วงพญาไท-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา เปิดบริการปี 2566-2567 และใน 4 ปี ช่วงพญาไท-ดอนเมือง เพื่อเปิดบริการปี 2567-2568 ตามที่แนบท้ายไว้ในสัญญา โดยมั่นใจว่าจะทำได้ตามแผน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี