** ผ่านไปแล้ว...การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit)ครั้งที่ 35 ที่ประเทศไทยในฐานะประธานและเจ้าภาพการประชุมอาเซียน...ซึ่งนอกจากบทบาทที่โดดเด่นของไทยในระดับสากลที่หลายฝ่ายคาดหวังแล้ว...ข้อตกลงด้านเศรษฐกิจในระดับพหุภาคีและทวิภาคีระหว่างไทยกับชาติต่างๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งหลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในเวทีนี้ด้วยเช่นกัน....แน่นอน...ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ....ถือเป็นจุดสนใจของนานาประเทศมากที่สุด เพราะเคยเป็นความตกลงที่เป็นคู่เทียบกับความตกลงเขตการค้าเสรีสำคัญอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) ที่เคยมีสหรัฐฯ เป็นหัวหอก แม้ปัจจุบันถูกลดระดับความสำคัญลงหลังจากสหรัฐฯ ถอนตัว จนปัจจุบันบรรลุข้อตกลงภายใต้ชื่อ Comprehensive andProgressive Agreement for Trans-Pacific Partnership (CPTPP)...แต่ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจโลกกำลังเจอกับผลกระทบสงครามการค้าซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดการค้าเสรีโดยสิ้นเชิง....ความสำเร็จในการเจรจาความตกลง RCEP...จึงถือว่าเป็นสัญญาสำคัญของการค้าโลกในช่วงนี้
ในเวทีนี้ไทยในฐานะเจ้าภาพ...ผลักดันให้เกิดผลสรุปของการเจรจาความตกลง RCEP ได้ครบข้อเจรจาทั้งหมด 20 บท จากช่วงต้นปี 2562 ที่ได้ผลสรุปเพียง 7 บท ...เป็นการบรรลุข้อเจรจาระหว่างอาเซียน 10 ประเทศกับประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยกเว้นเพียงอินเดียที่ยังไม่พร้อมในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในบางรายการตามความตกลง RCEP ซึ่งหลังจากนี้คณะเจรจาต้องไปจัดเตรียมข้อกฎหมายเพื่อให้พร้อมสำหรับการลงนามในปี 2563
ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากความตกลง RCEP มีอะไรบ้าง...???...เบื้องต้นพบว่ากลุ่มประเทศภายใต้ความตกลง RCEP กลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ โดยประเทศสมาชิก RCEP (ไม่รวมอินเดีย) เพราะมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึง 24.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 29% ของขนาดเศรษฐกิจโลก ขณะที่มีประชากรรวมกันถึงราว3.6 พันล้านคน หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนประชากรโลก
สำหรับประเทศไทย ด้วยความพร้อมของอุตสาหกรรมสนับสนุน และโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงนโยบาย EEC ซึ่งเป็น New Engine of Growth ของประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์จากการเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้นเช่นกัน…นอกจากนี้ความตกลง RCEP จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยในอนาคต แม้ว่าเดิมทีอาเซียนมีการทำ FTA กับประเทศหุ้นส่วนฯ 5 ประเทศ เป็นรายประเทศอยู่แล้ว...เช่น สินค้าในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางล้อ เส้นใย สิ่งทอเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และกระดาษ และแม้ว่าอินเดียยังไม่เข้าร่วม RCEP ไม่ได้บั่นทอนการค้าระหว่างไทยและอินเดียแต่อย่างใด เนื่องจากไทยและอาเซียนยังคงมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีร่วมกับอินเดียภายใต้ Thailand-India Free Trade Agreement (TIFTA) และ ASEAN-India Free Trade Agreement (AIFTA) ....
ณ ขณะนี้เมื่อ RCEP จะยังไม่สำเร็จผลเต็มรูปแบบ จึงยังมีเวลาในการเตรียมตัวเพื่อหาโอกาสทางการค้าการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น.... ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อมโดยเฉพาะด้านการลงทุนที่เปิดกว้างขึ้นจากความตกลง RCEP สำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ควรศึกษาลู่ทางและแสวงหาโอกาสลงทุนในประเทศสมาชิก RCEP โดยอาศัยจุดแข็งของประเทศนั้น อาทิ ความพร้อมด้านแรงงาน และทรัพยากรทางธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกิจการ...ส่วนผู้ประกอบการยึดฐานที่มั่นในประเทศเป็นหลักก็ต้องเตรียมกลยุทธ์รับมือกับแนวโน้มการแข่งขันในประเทศที่อาจรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของผู้ประกอบการต่างชาติในอนาคต...เช่น เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และสอดคล้องกับตลาดผู้บริโภคยุคใหม่ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ...
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี