"สุริยะ"ปาฐกถา"แนวหน้า ฟอรั่ม" ปลุกเอกชนเชื่อมั่นรัฐบาลร่วมสานพลังประชารัฐ ชี้ปลายทางประเทศไทย4.0ข้ามกับดักรายได้ปานกลาง เร่งขับเคลื่อนนโยบายก.อุตฯ5เรื่องหลักสอดรับข้อเสนอเอกชน
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงาน "แนวหน้า ฟอรั่ม # 2" ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์แนวหน้า ในหัวข้อ "สานพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย สู่อนาคต" ว่า ขอชื่นชมหนังสือพิมพ์แนวหน้าในฐานะสื่อมวลชนที่มีปณิธานว่า "มั่นคง ตรงไป ตรงมา" และด้วยปณิธานอันแน่วแน่นี้ จึงส่งผลให้เป็นสื่อที่ยืนหยัดอยู่คู่กับประเทศไทยมานานถึง 40 ปี
การจัดงานในวันนี้ เป็นการทำหน้าที่สื่อกลางในการสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังทำอะไร ดำเนินการอย่างไรในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ และในทางกลับกัน รัฐบาลเองก็สามารถทราบความทุกข์ร้อน ความคิดเห็น และความต้องการของประชาชนได้จากสื่ออย่างแนวหน้า ที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่สะท้อนให้เสียงของประชาชนเป็นเสียงที่ดังขึ้น เพื่อรัฐบาลจะได้นำเสียงสะท้อนเหล่านั้นมาสู่การแก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างตรงจุด ดังนั้น พลังของสื่อมวลชนอย่างหนังสือพิมพ์แนวหน้า จึงเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการร่วมกันสานพลังประชารัฐ ให้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยได้
นายสุริยะ กล่าวว่า สถานการณ์การแข่งขันทางการค้าและระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นความท้าทายที่ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยจะต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ที่สงครามการค้าระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยจะเห็นได้จากเศรษฐกิจของจีนในปีที่แล้ว เติบโต 6.6% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี ในขณะที่เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในช่วงต้นปีขยายตัวเพียง 0.1% ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมด้วยการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้หลายบริษัทในหลายๆ อุตสาหกรรมปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดดิสรัปชั่น ล้มละลายไป
"ถ้าจำกันได้เราเคยประสบวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งวิกฤติครั้งนั้นมีความรุนแรงกว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้หลายเท่าตัว แต่ประเทศไทยก็รอดมาได้และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าทางภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สานพลังกันดังหัวข้อในการสัมนาในวันนี้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัว และทะยานขึ้นได้ในที่สุด" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว
และว่า สิ่งสำคัญ คือ เราต้องพึ่งตัวเราเองให้มากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต เราจะต้องกำหนดยุทธศาสตร์ในการสร้างเส้นทางใหม่ขึ้น เส้นทางที่มีปลายทางอยู่ที่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งในด้านเศรษฐกิจ หมายถึง เป้าหมายสำคัญ 3 ประการ คือ
1.ประเทศไทยจะต้องเติบโตก้าวข้ามกับดักรายได้ขั้นกลางให้ได้ 2.ประเทศไทยจะต้องเติบโตอย่างสมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อม และ 3.ประเทศไทยจะต้องเติบโตอย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค ซึ่งไม่ใช่มุ่งเน้นการพัฒนาเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลัก หรือ พื้นที่เมืองเท่านั้น แต่จะต้องมีการพัฒนาพื้นที่อื่นๆ รวมไปถึงการสร้างผู้ประกอบการ SME ผู้ประกอบการฐานราก และ Startup ได้อย่างทั่วถึงโดยตนได้มอบนโยบายแก่หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมจากเดิมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและเทคโนโลยีอย่างง่าย ไปสู่อุตสาหกรรมที่มีความต้องการในอนาคต นำองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงพอที่จะก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน รวมทั้งภาคประชาชน โดยมีผลงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการไปแล้วตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา หรือ "99 วัน อุตสาหกรรมทำได้" ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม แบ่งเป็น 5 เรื่องหลัก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่สอดรับกับข้อเสนอของภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้ง ภาคประชาชน โดยเริ่มจาก 1.การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรม 2.การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ 3.การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government 4.ทะลวงอุปสรรค ลดขั้นตอนผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ในการเข้าถึงสินเชื่อ และ 5.การดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ
สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะต่อไป แน่นอนว่าเราจะยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะเดินหน้าต่อยอดขยายผลเพื่อให้เกิดการพัฒนาในมิติต่างๆ อย่างครอบคลุม รอบด้านมากขึ้น และเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจในแง่ของการลงทุน โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ทยอยลงนามร่วมทุน ทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ฯลฯ
ภาคอุตสาหกรรมที่ถือเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จะก้าวต่อไปได้ ต้องเกิดขึ้นภายใต้ "การสานพลังประชารัฐ" โดยภาครัฐจะเป็นผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมตามกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจการบริหารงานของรัฐบาลในเรื่องต่างๆ ต้องมีการทำงานร่วมกันในรูปแบบ “เครือข่ายประชารัฐ” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน
"ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า โมเดลการพัฒนาที่ดี และการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือของทุกฝ่าย เมื่อผนวกกับศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง ความพร้อมของปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ทั้งในเรื่องของสิทธิประโยชน์การลงทุน ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการเมืองที่มีความชัดเจน มีเสถียรภาพ ประกอบกับความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป โดยแต่ละกระทรวงพร้อมใจกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจของตนเอง ภายใต้การบูรณาการทำงานร่วมกัน โดยมีนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายร่วมกัน ย่อมส่งผลให้เกิดพลังประชารัฐที่เข้มแข็ง ที่จะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทย ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสมดุล และทั่วถึง เพื่อประเทศไทยที่ มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน สืบไป" นายสุริยะ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี