ผ่านพ้นไปแล้วกับงาน “แนวหน้า FORUM#2 สานพลังประชารัฐ สร้างเศรษฐกิจไทย” เมื่อค่ำวันที่ 28 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม ชั้น 4 รร.มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2 ท่าน คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาในงาน
โดย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาในหัวข้อ “สานพลังประชารัฐ สร้างเศรษฐกิจไทย” กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น หากนับย้อนหลังไปมากกว่า5 ปีก่อน ปัจจัยการเมืองภายในประเทศทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ถึงร้อยละ 4 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) ต่อมาในช่วง 4-5 ปี ล่าสุด เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4ของ GDP
กระทั่งในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโตช้า น้อยกว่าร้อยละ 4 ของ GDP อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยภายนอกคือความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยเมื่อดูเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ 4 ด้าน พบว่า 1.การส่งออก กระทบแน่นอนจากปัจจัยข้างต้น 2.การท่องเที่ยว เศรษฐกิจภาคท่องเที่ยวยังขยายตัวร้อยละ 7 ชี้ให้เห็นว่ายังไปได้ 3.การลงทุน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เอกชนชะลอการลงทุน ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงาน และ 4.การอุปโภค-บริโภคในประเทศ ประชาชนเองก็ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย
“เรายังไม่ได้หดตัว วันนี้ที่พูดเศรษฐกิจถดถอย จริงๆ ไม่ใช่ ผมไม่ได้เล่นคำพูด ถ้าถดถอยจริงๆ เราติดลบแล้ว เรายังไม่ได้ติดลบ แต่เราไม่ได้วางใจ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ฉะนั้นต้องมีการดูแล รัฐบาลก็ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระยะ มาตรการของเราก็มีเป้าหมายตั้งแต่ต้นชัดเจน ต้องการดูแลพี่น้องประชาชน เครื่องอุปโภค-บริโภค ค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการผลิตโดยเฉพาะผู้ประกอบการในชุมชน SME รายเล็ก เราก็จะดูแลให้ครบถ้วน
ภาคการเกษตรก็มีมาตรการออกมา เริ่มต้นจากเข้าฤดูกาลปลูกเราก็อุดหนุนปัจจัย อุดหนุนทุน วันนี้เข้าฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว เราต้องอุดหนุนเรื่องของค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว อันนี้จำเป็นเพราะว่ามันเป็นผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งภัยแล้งแล้วก็มาน้ำท่วมอีก มันหยุดแล้วตอนนี้แต่ผลมันโดนไปแล้ว ได้รับผลกระทบเสียหายไปแล้ว วันนี้ก็ต้องเข้าไปดูแล แล้วยังมีพืชผลอื่นๆ มีเรื่องของประกันรายได้ที่รัฐบาลก็เอาออกมา ดูแลให้ครอบคลุม” นายอุตตม กล่าว
ประการต่อมา “ชิม-ช้อป-ใช้” มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมามักโดนค่อนขอดเสมอว่าไม่ช่วยแก้ปัญหาบ้าง หรือเร่งให้เม็ดเงินไปเข้ากระเป๋าทุนใหญ่บ้าง นายอุตตม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โครงการชิม-ช้อป-ใช้ เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลนำออกมาให้ครอบคลุม โดยต้องการให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยคึกคัก พร้อมกับเสริมเรื่องการท่องเที่ยวเข้าไป นอกจากนี้ยังมีมาตรการด้านที่อยู่อาศัย เช่น ลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง
หรือล่าสุดที่รัฐบาลต้องการช่วยให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงนักสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อเดือนรัฐบาลจะสนับสนุนเงินดาวน์ที่อยู่อาศัยให้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท จำนวน 1 แสนคน มาตรการนี้เกิดคำถามตามมาว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มากเกินไปหรือไม่ซึ่งก็ต้องอธิบายว่า เมื่อมีกำลังซื้อมาก ผู้ประกอบการก็ได้ระบายสินค้าเดิมแล้วก็ต้องก่อสร้างใหม่ การจ้างงานก็จะเกิดขึ้นจากจุดนี้
“กองทุนหมู่บ้าน” ก็เป็นอีกกลไกที่รัฐบาลให้การส่งเสริม “รัฐบาลสนับสนุนเงินเข้ากองทุนโดยกำหนดกรอบว่าต้องลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชุมชน เพื่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่” รวมถึงยังช่วย “ลดปัญหาหนี้นอกระบบ” ให้คนในชุมชนมากู้เงินกองทุนหมู่บ้าน และเมื่อเศรษฐกิจมีปัญหาก็มีมาตรการพักชำระหนี้กองทุน แต่พักเฉพาะเงินต้นเท่านั้นยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเช่นเดิม เพื่อไม่ให้เสียวินัยการเงินการคลังของกองทุน
รมว.คลัง ยังเปิดเผย “ตัวเลขการจัดเก็บภาษีโดยกรมสรรพากร” ที่พบว่า“สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการใช้จ่ายในประเทศได้มากขึ้น” เช่น ไตรมาส 2 ของปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หรือไตรมาส 3ของปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 นั่นหมายถึงสภาพการจับจ่ายใช้สอยในประเทศค่อยๆ ดีขึ้นอย่างไรก็ตาม มาตรการของรัฐบาลไม่ได้มีเพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อประคับประคองเท่านั้น ยังมีมาตรการระยะยาวด้วย
“การที่ตอนนี้เราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ มันสะท้อนทั้งความสำเร็จและปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ความสำเร็จคือเราพัฒนาที่ผ่านมาจนกระทั่งเราส่งออกได้ดีมาก ท่องเที่ยวเราก็ดี แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น พอเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างนี้ส่งออกถูกกระทบทันที พอถูกกระทบเป็นเครื่องยนต์หลักมันก็รวนข้างใน อันนี้มันมาจากความสำเร็จของเราเองด้วย แต่มันก็มาพร้อมความไม่สมดุลของโครงสร้างเศรษฐกิจเรา
แต่ไม่ใช่ว่าสายเกินไป โจทย์สำคัญคือเราจะมาช่วยกันปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจของเราอย่างไรให้เป็นเศรษฐกิจซึ่งมีขีดความสามารถที่จะค้าขายด้วยสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม บริการที่มีมูลค่าเพิ่มมากๆ ออกไปจากการผลิตสินค้าที่เป็นOEM (Original Equipment Manufacturer :การรับจ้างผลิตสินค้าตามที่ผู้ประกอบการรายอื่นต้องการนำไปขายในยี่ห้อของผู้ประกอบการนั้น) มากเกินไป อันนี้พูดง่ายแต่ทำไม่ง่าย ต้องใช้เวลา ต้องมีตัวช่วย และต้องรวมพลังกันปรับตัว”นายอุตตม ระบุ
สำหรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รมว.คลัง ยกตัวอย่าง 1.ยกระดับเกษตรเชิงคุณภาพ หรือที่เรียกกันว่า “สมาร์ทฟาร์มเมอร์ (Smart Farmer)” ยึดโยงกับภาคการท่องเที่ยวโดยดึงกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันทำไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างในอดีต 2.ก้าวสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต 3.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเริ่มดำเนินการไปแล้วไม่ว่าระบบราง ท่าเรือ สนามบิน คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในอีก 5-6 ปีข้างหน้า และไม่ได้เชื่อมเฉพาะภายในประเทศ แต่ยังเชื่อมรอบๆ ภูมิภาคออกไปสู่โลก
4.นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น การชำระเงินผ่านระบบ “พร้อมเพย์ (Prompt Pay)” วันนี้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการรายย่อย 5.โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นพื้นที่ต้นแบบในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งอุตสาหกรรม บริการ การศึกษา ด้วยการดึงดูดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จากเดิมที่เน้นการดึงเม็ดเงินลงทุนเป็นหลัก 6.ปฏิรูปการศึกษา เช่น ยกระดับอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสมัยใหม่
“ทักษะที่คนไทยต้องมีคืออะไร เรื่องดิจิทัลเป็นพื้นฐาน วันนี้เราก็พยายาม โครงสร้างพื้นฐานการเงินบางคนก็ถามว่าผู้เฒ่าผู้แก่ในต่างจังหวัดเขาจะใช้ได้อย่างไร ก็เรียนว่าใช่!ตอนต้นก็ลำบากอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าสักพักก็ชิน เห็นได้จากโครงการชิมช็อปใช้ เดี๋ยวก็ชิน มันมีการเรียนรู้อยู่เสมอ เรื่องคนสำคัญมาก เราต้องลงทุนเรื่องตรงนี้ ลงทุนเรื่องเทคโนโลยี เรื่องการศึกษาอย่างมหาศาล แล้วปฏิรูปการศึกษาของเรา การลงทุนต้องเกิดขึ้นจากภาคเอกชนและภาครัฐ ก็ต้องขับเคลื่อนเรื่องพวกนี้”นายอุตตม ยกตัวอย่าง
7.แก้ไขกฎหมายให้เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมา “รายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ (Doing Business)” จัดทำโดย “ธนาคารโลก (World Bank)” พบว่า อันดับของประเทศไทยดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ในอันดับ 21 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในอันดับ 27 และหากย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อน ในเวลานั้นไทยยังอยู่ในอันดับ 45 เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง อาทิ การจ่ายภาษีทำได้สะดวกขึ้น รวมถึงการคืนภาษีของนักท่องเที่ยว โดยนำระบบออนไลน์เข้ามาสนับสนุน
“ระยะสั้นถ้าถามว่าเป็นอย่างไร มีผลกระทบอยู่ ฉะนั้นเราดูแลระยะสั้นด้วยมาตรการ แล้วถามว่าจะมีอีกไหม ถ้าจำเป็นก็จะเอาออกมา ควบคู่กันไปกับการเร่งปฏิรูปปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไม่ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วทำด้วยการดูแลงบประมาณ ไม่ใช่บอกว่าทำแต่ระยะสั้นเลยไม่มีเงินทำระยะยาว กระทรวงการคลังช่วยสำนักงบประมาณดูแลเรื่องนี้ เรามีทุนพอดูแลปัญหาระยะสั้น และจัดทุนเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่สุดท้ายเราจะไปได้เร็วแค่ไหน บรรลุเป้าหมายได้เท่าไร อันนี้ก็ขึ้นกับทุกภาคส่วน” รมว.คลัง กล่าวทิ้งท้าย
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปาฐกถาในหัวข้อ “สานพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต” กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมของไทยเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย เช่น “สงครามการค้า (Trade War)”ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก เห็นได้จากเศรษฐกิจของจีนในปี 2561 เติบโตเพียงร้อยละ 6.6 ต่ำสุดในรอบ 28 ปี หรือเศรษฐกิจของสิงคโปร์ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1 ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี แน่นอนประเทศไทยก็ไม่พ้นได้รับผลกระทบไปด้วย
หรือจะเป็น “ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruptive Technology)” ผู้ประกอบการหลายรายปรับตัวไม่ทันต้องเลิกล้มกิจการไป ดังนั้น “เศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ต้องปรับเปลี่ยน” จากที่เคยเป็นมา อาทิ สินค้าเกษตรแบบดั้งเดิม อุตสาหกรรมแบบรับจ้างผลิต (OEM) หรือการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักถึงร้อยละ 70 ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ประเทศไทย 4.0(Thailand 4.0)” โดยต้องทำใน 3 เรื่องคือ
1.ก้าวข้ามภาวะ “กับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)” ในบรรดาประเทศรายได้ปานกลาง 101 ประเทศ พบมีเพียง13 ประเทศที่หลุดพ้นขึ้นไปเป็นประเทศรายได้สูงหรือประเทศพัฒนาแล้วได้สำเร็จ ในจำนวนนี้อยู่ในทวีปเอเชียเพียง 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์และไต้หวัน “เงื่อนไขสำคัญในการไปให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง คือการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ” ประเทศไทยที่ทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้มีมากอย่างในอดีตและสินค้าเดิมๆ ก็เป็นที่ต้องการน้อยลงในตลาดโลก จึงถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยน
2.เศรษฐกิจของประเทศต้องเติบโตอย่างสมดุล ไม่ว่าการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว รวมถึงการดำรงชีวิต ต้องไม่สร้างความเสื่อมโทรมแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.การเจริญเติบโตต้องกระจายไปทุกภูมิภาค จากเดิมที่เน้นพัฒนาเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลักหรือตามเมืองใหญ่ๆ ต้องครอบคลุมไปให้ถึงฐานราก เช่น เกษตรกรผู้ประกอบการรายย่อย และสตาร์ทอัพ (Start Up)
“ผมได้มอบนโยบายแก่หน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เร่งรีบปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจากเดิมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและเทคโนโลยีอย่างง่าย ไปสู่อุตสาหกรรมที่มีความต้องการในอนาคต นำองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงพอที่จะก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งทำควบคู่ไปกับการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” นายสุริยะ ระบุ
รมว.อุตสาหกรรม ยกตัวอย่างสิ่งที่ทางกระทรวงได้เริ่มทำไปแล้ว ภายใต้นโยบาย “99 วันอุตสาหกรรมทำได้” ประกอบด้วย 1.สร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมไทย “เมด อินไทยแลนด์ (Made in Thailand)” อาทิ ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าที่ผู้ประกอบการหลายชาติพากันหนีออกจากจีนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้น
โดยผู้ประกอบการเหล่านี้คงไม่ย้ายกลับบ้านเกิด แต่จะย้ายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีไทยกับเวียดนาม เป็น 2 ปลายทางสำคัญ แต่ด้วยปัจจัยด้านความสะดวกสบายทั้งการประกอบกิจการและในชีวิตประจำวันที่เป็นจุดแข็งของไทย ก็น่าจะเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้นักลงทุนเลือกมาไทยมากกว่าจะไปเวียดนาม อย่างไรก็ตาม การลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทั้งการดูทำเลที่ตั้งและก่อสร้างโรงงาน
“ผมอยากให้นักธุรกิจต่างๆ ค่อยๆใจเย็นๆ แล้วถือโอกาสในช่วงนี้ที่ดอกเบี้ยต่ำและเงินบาทแข็ง เป็นโอกาสที่เราจะซื้อเครื่องจักรกลต่างๆ เพื่อจะรองรับโครงการใหม่ๆ เศรษฐกิจหลักๆ ที่จะเติบโตขึ้น คิดว่าถ้าเราทำอย่างนี้สำเร็จ เชื่อว่าวิกฤติเป็นโอกาส สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมอาหารมีความสำคัญมากๆ เพราะประเทศไทยมีต้นทุนการเกษตรที่ถูก” นายสุริยะ กล่าว
นายสุริยะ อธิบายเพิ่มเติมเรื่องอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ว่า “โลกยุคใหม่อาหารจะไม่ใช่แบบที่รับประทานกันอย่างที่คุ้นเคย แต่เป็นอาหารพิเศษเพื่อสุขภาพ เช่นอาหารคลีน (Clean)” นอกจากนี้ยังมี “อุตสาหกรรมชีวภาพ” ซึ่งต่อเนื่องกับภาคเกษตร ขณะเดียวกันในพื้นที่อุตสาหกรรมก็มีโครงการพัฒนา อาทิ “ท่าเรือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (ระยะที่ 3)” เชื่อมโยงกับพื้นที่โครงการ EEC ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี หากแล้วเสร็จจะสามารถรอบรับสินค้าต่างๆ ได้กว่า 14 ล้านตัน
ส่วนในการติดต่อราชการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม ได้พัฒนาระบบ“ไอ-อินดัสตรี (I-Industry)” เชื่อมฐานข้อมูลทุกหน่วยงานในกระทรวง เข้าด้วยกันเพื่อบริการประชาชนแบบ “ครบในจุดเดียว (One Stop Service)” เช่น การขอจดทะเบียนหรือขอใบอนุญาตต่างๆ การชำระค่าธรรมเนียม มีบริการทั่วประเทศเริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2562 ผู้ประกอบการสามารถติดตามได้ว่าเรื่องของตนอยู่ในขั้นตอนใด ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อย
อีกด้านหนึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีภารกิจด้าน “คุ้มครองประชาชน” ผ่านเครื่องหมาย “มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)”มีการกำหนดมาตรฐานเพิ่มขึ้น 244 เรื่อง ให้ประชาชนได้ใช้สินค้าที่ปลอดภัย รวมถึงเรื่องที่ถูกพูดถึงกันมากในระยะหลังๆ อย่าง “วิกฤติฝุ่น PM2.5” ทางกระทรวงตั้งเป้ากำหนดมาตรฐานรถยนต์และน้ำมันไว้ที่ “ยูโร 5 (EURO V)” ให้ได้ภายในปี 2564 เพื่อลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ เป็นต้น
“ภาคอุตสาหกรรมเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จะก้าวต่อไปได้ต้องเกิดขึ้นภายใต้การสานพลังประชารัฐ โดยภาครัฐจะเป็นผู้สนับสนุนให้กับภาคเอกชน และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจการดำเนินการของรัฐบาลในเรื่องต่างๆ ต้องมีการทำงานร่วมกันในรูปแบบเครือข่ายประชารัฐ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน” รมว.อุตสาหกรรม กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี