ประเด็นร้อนสำคัญที่สังคมไทยติดตามและคาดหวังอย่างหนัก !!! กรณี “ค่าโง่โฮปเวลล์” ภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้กระทรวงคมนาคม ชดใช้เงินคืนแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ในโครงการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ วงเงินรวมดอกเบี้ยกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ปิดฉากตำนานโครงการ “ตอม่อร้าง” ยาวนานกว่า 30 ปี
แม้ว่า ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดซึ่งเห็นด้วยกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยเห็นว่าการที่กระทรวงคมนาคมบอกเลิกสัญญาดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายนั้น แต่ยังมีอีกหลายเงื่อนปมที่ค่อนข้าง “น่าสงสัย” และยังไม่ได้ถูก “คลี่” ออกมาให้สาธารณชนรับทราบมากนัก
โดยเฉพาะนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พร้อมด้วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่ออกแอ็คชั่นในเรื่องนี้มาตลอดว่าจะไม่ยอมให้ประเทศชาติต้องเสีย “ค่าโง่โฮปเวลล์” อย่างแน่นอน และมีพยานหลักฐานใหม่หยิบยกขึ้นมาต่อสู้เรื่องนี้ โดยมีการตั้งคณะกรรมการศึกษากรณีการจ่ายค่าชดเชยให้บริษัท โฮปเวลล์ฯ ซึ่งได้รับข้อมูลว่า การจ่ายเงินให้เอกชนในโครงการนี้อาจไม่ถูกต้อง เพราะมีข้อพิรุธอย่างน้อย 9 ประการ ได้แก่
1.วันที่ 6 ต.ค. 2532 รายละเอียดโครงการไม่ตรงตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)
2.วันที่ 16 ต.ค. 2532 การดำเนินงานของคณะกรรมการฯ รวดเร็วผิดปกติ และให้สิทธิประโยชน์มากกว่าตามหลักการที่เป็นมติ ครม.
3.วันที่ 15 ม.ค. 2533 มีการแทรกแซงรายละเอียดโครงการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น และคณะกรรมการฯ มีการเอื้อประโยชน์ให้โฮปเวลล์-ฮ่องกง
4.วันที่ 31 พ.ค. 2533 โฮปเวลล์-ฮ่องกง เสนอเงื่อนไขไม่ตรงตามประกาศของคณะกรรมการฯ
5.วันที่ 6 ก.ค. 2533 มีความผิดปกติในการร่างสัญญาสัมปทานและการลงนามในสัญญาสัมปทาน
6.เดือน ส.ค.-พ.ย. 2533 มีการเอื้อประโยชน์ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด และหลีกเลี่ยงการใช้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 (ปว.281) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
7.วันที่ 9 พ.ย. 2533 การลงนามในสัญญาสัมปทานไม่เป็นไปตามมติ ครม.
8.วันที่ 4 ธ.ค. 2533 มีการรายงานเท็จต่อ ครม.
9.บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย)จำกัด ไม่มีสิทธิได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
นั้นคือ 9 ข้อเป็นพยานหลักฐานสำคัญ “ชิ้นใหม่” โดยจะดำเนินการฟ้องต่อศาลปกครองให้สัญญาเดิมเป็น “โมฆะ” เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินงบประมาณแผ่นดินไปกับ “ค่าโง่” โครงการนี้
เมื่อนำเทียบเงื่อนปม 9 ข้อของนายศักดิ์สยาม กับข้อเท็จจริงในมติคณะรัฐมนตรี สรุปได้ดังนี้
โครงการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับในเขต กทม. หรือเรียกโดยทั่วไปว่า “โครงการโฮปเวลล์” มีจุดกำเนิดตั้งแต่ช่วงกลางปี 2532 ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2532 ครม. มีมติรับทราบโครงการดังกล่าวที่กระทรวงคมนาคม (ยุคนั้น) เป็นผู้เสนอ และในวันเดียวกัน ครม. มีมติเห็นชอบแผนงานและโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอด้วย
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2533 ครม.รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานการเจรจาก่อสร้างกับบริษัท Hopewell Holding Ltd. (บริษัทแม่ของ โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด) โดยเงื่อนปมสำคัญคือ Hopewell จะได้รับสิทธิในการจัดประโยชน์ที่ดินสถานีรถไฟหัวลำโพง ประมาณ 132 ไร่ และ Hopewell จะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสม
เงื่อนปมส่วนนี้ สอดคล้องกับข้อสังเกตของนายศักดิ์สยาม ที่เห็นว่า ในช่วงเดือน มี.ค. 2533) มีการแทรกแซงรายละเอียดโครงการโดย รมว.คมนาคม (ขณะนั้น-นายมนตรี พงษ์พานิช) และอาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับ Hopewell ได้?
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2533 ครม.จึงมีมติอนุมัติโครงการดังกล่าว โดยให้ Hopewell ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุนภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฯ และให้ยกเว้นการเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมของเงินกู้ระยะยาวที่ Hopewell ต้องชำระให้แก่สถาบันการเงินต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาประสานงานต่อไป
ส่วนมติ ครม.วันที่ 4 ธ.ค. 2533 ที่ถูกนายศักดิ์สยามตั้งข้อสังเกตว่า มีการรายงานต่อ ครม.เป็นเท็จ ระบุว่า ครม. มีมติรับทราบรายงานของกระทรวงคมนาคมในโครงการดังกล่าว และการให้ประโยชน์การใช้ที่ดินแก่ Hopewell ดังนั้นการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายรัฐจึงลงนามกับ Hopewell
ช่วงเวลาดังกล่าวมีความพยายามจาก รมว.คมนาคม (ขณะนั้น) ถึง 2 ครั้ง ขอให้รัฐยกเว้นการเก็บภาษีจาก Hopewell อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวต้องถูกถอนออกไปเพราะถูกกระทรวงการคลังเบรกไว้ เพราะเกรงว่าอาจทำให้รัฐต้องสูญเงินฟรี ๆ ถึง 364 ล้านบาทเศษ แต่ฝ่าย Hopewell ก็ยังได้รับ “สิทธิส่งเสริมการลงทุนสูงสุด” ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอากรอย่างมาก เช่น ยกเว้นภาษีการนำเข้าเครื่องจักร การค้า และยกเว้นภาษีเงินได้ เป็นต้น
มติ ครม.เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2533 จึงกลายเป็นชนวนผูกมัดทำให้รัฐไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้มากนัก แม้ว่าการก่อสร้างโดยบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (บริษัทลูก Hopewell Hongkong) เกิดความล่าช้าอย่างมาก มีการอ้างว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน รัฐบาลในชุดต่อ ๆ มาพยายามประคับประคองเพื่อให้โครงการดังกล่าวเดินไปได้ก็ตาม
กระทั่ง “ฟางเส้นสุดท้าย” มาขาดผึง ช่วงรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็น รมว.คมนาคม เห็นว่า เปิดช่องให้บริษัท โฮปเวลล์ฯ ดำเนินการมานานแล้ว ขยายเวลาสัมปทานก็แล้ว ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ มาก็มาก แต่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะไม่ทันเปิดใช้ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี 2541 จึงชง ครม.ให้บอกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการดังกล่าวกับบริษัท โฮปเวลล์ฯ
มตินี้มาเป็นทางการสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย (2) มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น รมว.คมนาคม ให้บอกเลิกสัญญาดังกล่าว จนกลายเป็นปัญหาฟ้องร้องในชั้นอนุญาโตตุลาการ และคดีในศาลปกครอง กระทั่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาดังกล่าวให้ฝ่ายรัฐชดใช้เงินแก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ
ทว่าในช่วงการต่อสู้ทั้งในชั้นอนุญาโตตุลาการ และชั้นศาลปกครองนั้น พยานหลักฐานข้างต้นเหล่านี้ อาจยังไม่เคยถูกหยิบยกมาพิจารณามาก่อน
ในที่สุดแล้วต้องรอลุ้น นายศักดิ์สยาม ที่พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ประเทศต้องสูญเสีย “ค่าโง่” กับโครงการที่มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการเหล่านี้ จะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติไว้ได้หรือไม่..?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี