nn พื้นที่ป่าของไทยจากในอดีต 60% มาวันนี้เหลืออยู่ไม่ถึง 30% สิ่งที่ตามมาคือปัญหาเขาหัวโล้น หมอกควันไฟป่า และที่เลวร้ายหนักกว่านั้นก็คือสภาพความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ หน้าฝนน้ำท่วม หน้าแล้ง ก็ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก...ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งของการหายไปของพื้นที่ป่าเกิดการบุกรุกแผ้วถางของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยเพื่อปลูกพืชพันธ์ุทางการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ซึ่งไม่มีความมั่นคงและความยั่งยืนของรายได้ ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นหนี้ ก็ต้องบุกรุกป่าเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีผลผลิตมากขึ้น เพื่อหวังจะปลดหนี้สินที่มีอยู่แต่ถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่องป่าสภาพแวดล้อมก็ยิ่งเลวร้ายลง ปัญหาภัยธรรมชาติก็จะรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันถ้าจะเอาพื้นที่ป่าคืนมาแล้วประชาชนเหล่านั้นจะอยู่ที่ไหน ทำมาหากินอะไร...
หนทางหนึ่งที่ดูเหมือนจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดคือ ให้คนอยู่ในพื้นที่นั้นต่อไปตามที่เขามีสิทธิทำกิน แต่เปลี่ยนวิถีการทำการเกษตร ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนกว่าเดิม...ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน
“เศรษฐศาสตร์วันหยุด” อยากจะยกตัวอย่างของโครงการ“สบขุ่นโมเดล” ที่ดำเนินการโดย เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมคณะผู้บริหาร และชาวบ้านชุมชนสบขุ่น จ.น่าน ได้ร่วมกันเปิด โรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่นอ.ท่าวังผา จ.น่าน ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินโครงการพลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน เพื่อลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูงชัน และรักษาสมดุลระบบนิเวศทรัพยากรป่าไม้
หัวใจของโครงการนี้คือการสร้างความยั่งยืนด้านอาชีพให้แก่เกษตรกรในพื้นที่บ้านสบขุ่น ให้มีเงินหมุนเวียน ด้วยการส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าเป็นพืชทางเลือก ทดแทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แก้ปัญหาภูเขาหัวโล้น บนพื้นที่นำร่องกว่า 330 ไร่ โดยเริ่มบุกเบิกตั้งแต่ปี 2559 เพื่อเป็นต้นแบบในการฟื้นคืนผืนป่าน่านให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง ผลผลิตกาแฟบนดอยภายใต้สบขุ่นโมเดลเริ่มเก็บเกี่ยวป้อนเข้าสู่โรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่า สร้างรายได้ บ้านสบขุ่น ได้เป็นครั้งแรก
นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้นำร่องสนับสนุนชุมชนสบขุ่น โดยสร้างโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่น เพื่อรับซื้อผลผลิตกาแฟเชอร์รี่จากเกษตรกรของโครงการ และนำมาแปรรูปด้วยวิธีการสีกาแฟเชอร์รี่โดยไม่ใช่น้ำ (Honey Process) ซึ่งดำเนินงานในรูปแบบของ Social Enterprise เป็นต้นแบบในการเรียนรู้และพัฒนาแก่เกษตรกรในพื้นที่ ในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร อีกทั้งยังเป็นสร้างจิตสำนึกในการดูแลรักษาป่า ควบคู่ไปกับการมีรายได้ในการดำรงชีวิต นอกจากสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้ด้วยวิถีธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันโรงแปรรูปฯ มีเกษตรกรในหมู่บ้านเป็นสมาชิกจำนวน 76 ราย มีพื้นที่ปลูกกาแฟครอบครองรวม 539 ไร่ ซึ่งเมื่อรับซื้อผลผลิตแล้วจะหักรายได้จำนวนหนึ่ง มาเป็นค่าบริหารจัดการกลุ่ม และนำมาสะสมเป็นเงินออมให้กับสมาชิก…สมาชิกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้ขายกาแฟให้กับโรงแปรรูปนี้มาแล้ว 3 วัน วันแรกได้เงิน 500 บาท วันที่ 2 ขายได้ 800 บาท วันที่ 3 ขายได้กว่า 1,000 บาท รู้สึกดีใจมาก ที่มีรายได้ที่ดีเช่นนี้...
แน่นอนว่าปัญหาในลักษณะนี้มีอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และเป็นปัญหาที่ต้องแก้ในหลายมิติ แต่ไม่ได้หมายความว่าแก้ไขไม่ได้ จากตัวอย่างของ“สบขุ่นโมเดล” หากมีอีกหลายภาคส่วนนำไปใช้ในพื้นที่อื่น เชื่อว่าอีกไม่นานผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ก็จะกลับคืนมา พร้อมๆ กับความสภาพความเป็นอยู่ที่มั่นคงและยั่งยืนของพี่น้องเกษตรกรไทย
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี