สมมติว่า ประเทศไทย ไม่มีผู้ให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่ ที่เป็นเอกชนเลย มีแต่รัฐวิสาหกิจอย่าง ทีโอที และแคท เทเลคอม เพราะถือว่า เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของชาติ รัฐควรทำเอง เป็นสมบัติของชาติ ต้องไม่ให้เอกชนเอาไปหาประโยชน์
ลองจิตนาการดูว่า เราจะอยู่กันอย่างไร
สมมติอีกว่า ธุรกิจสายการบิน มีสายการบินแห่งชาติ ผูกขาดรายเดียว ทั้งในและนอกประเทศ เพราะธุรกิจการบิน เป็นกิจการของรัฐ สายการบินแห่งชาติ เป็นสมบัติของชาติ ต้องไม่ให้เอกชนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
ลองจิตนาการดูว่า เราจะอยู่กันอย่างไร
โชคดี ที่ทั้งสองเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องสมมติ จึงไม่ต้องจิตนาการว่า เราจะอยู่กันอย่างไร
โชคดีของประเทศไทย ที่ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลแต่ละยุค ได้ดำเนินนโยบายปฏิรูป การลงทุน และให้บริการ กิจการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง
แนวทางและนโยบายการปฏิรูปที่สำคัญคือ ให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ในกิจการโครงสร้างพื้นฐานนั้น โดยรัฐกำกับดูแลให้มีการแข่งขันอย่างเหมาะสม และคิดราคาที่เหมาะสม เป็นธรรมต่อทั้งผู้ลงทุน และประชาชน
กิจการโทรคมนาคม และสายการบิน เป็นตัวอย่างที่ดี ของนโยบายให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน และให้บริการ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ประชาชนคือ ผู้ได้รับประโยชน์ จากบริการที่ทั่วถึง เข้าถึงง่าย มีคุณภาพ และราคาเป็นธรรม
อีกกิจการหนึ่งคือ การผลิตไฟฟ้า ที่ให้เอกชนลงทุนตั้งโรงไฟฟ้า ผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทำให้ทุกวันนี้ ประชาชน และภาคธุรกิจ มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ทุกที่ ทุกเวลา ในราคาที่ต่ำ
ขณะที่ ผลการศึกษาของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ในรายงาน “Rethinking Power Sector Reform in the Developing World” ระบุว่า ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และการที่เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสายส่งและระบบจ่ายไฟ (power transmission and distribution) สร้างผลดีกับประเทศ อีกทั้ง มองว่าการปฏิรูปตลาด (Market reform) สามารถช่วยปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพและความมั่นคงทางการเงินให้กับภาคพลังงาน อีกทั้งสร้างให้บรรยากาศการลงทุนดียิ่งขึ้น
ผลการศึกษาของเวิลด์แบงก์ ยังพบว่า ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสำหรับประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา โดยมีสัดส่วนการผลิตมากกว่า 40% ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาพลังงานทางเลือกที่ใช้มีการเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเงินลงทุนจากต่างประเทศ นับเป็นแหล่งทุนหลักสำหรับภาคเอกชนที่เข้ามาสู่ภาคการผลิตพลังงาน
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาสู่สนามนี้ผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนโดยเฉพาะโรงผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญเช่นกัน ได้แก่ ความเสี่ยงด้านตัวเลขความต้องการใช้งาน ราคาเชื้อเพลิง ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงจากการถูกยกเลิกสัญญา (Termination Risk) เหล่านี้เป็นปัจจัยสั่นคลอนความสนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะในตลาดที่ยังไม่นิ่ง
นอกจากนี้ การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องสายส่งและระบบจ่ายไฟ (power transmission and distribution) ยังสร้างผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ โดยแนวทางนี้แม้จะยังไม่กว้างขวางนัก แต่ก็มีตัวอย่างความสำเร็จทั้งในอเมริกาใต้ และเอเชีย ซึ่งเริ่มมีการปฏิรูปพลังงานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 เปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมบทบาทการเป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายไฟ หนุนให้เกิดความแข็งแกร่งในด้านการเงินและการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภค กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญในภาพรวมของภาคพลังงานที่มีประสิทธิภาพ
สถานการณ์ผลิต-การใช้ไฟฟ้าของไทย
ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รายงานตัวเลขการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ว่ามีกำลังการผลิตรวมทั้งระบบ 44,443 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. เอง 32.92% หรือคิดเป็นประมาณ 14,629 เมกะวัตต์ ที่เหลือแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าเอกชนทั้งรายเล็กและรายใหญ่ 55.01% รวมกำลังการผลิต 24,446.82 เมกะวัตต์ และอีก 12.07% หรือ 5,366.60 เมกะวัตต์ เป็นการนำเข้าจากนอกประเทศ
ขณะที่ ตัวเลขความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 30,853.20 เมกะวัตต์ เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม และเป็นที่น่าสังเกตว่าตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงแทบทุกเดือนอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าประมาณการที่จัดทำไว้ค่อนข้างมาก
ข้อมูลนี้สะท้อน “ความจำเป็น” ของบทบาทภาคเอกชนในการเข้ามาเป็น “ตัวช่วย” ให้ประเทศไทยและคนไทยมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ไม่ต้องเผชิญปัญหาไฟดับบ่อยๆ อย่างในอีกหลายประเทศ ที่ต้องเกิดความสูญเสียมหาศาลทุกครั้งที่เจอปัญหาไฟดับ บางครั้งกระทบถึงชีวิต เพราะทำให้ไม่มีไฟสำหรับการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการรักษาและช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี