รองโฆษก พปชร. ชี้ขึ้นค่าแรง 5-6 บาท เพื่อกระตุ้นศก.แก้ปัญหาปากท้องตรงจุด ยันไม่ลืมสัญญาช่วงหาเสียงปรับค่าแรง 425 บาท แต่ต้องรอบคอบค่อยเป็นค่อยไปดูบริบทหลายด้าน เหน็บรัฐบาลนี้เอายุค“ยิ่งลักษณ์”เป็นบทเรียน ปรับพรวด 300 บาท ทำเอสเอ็มอีเจ๊งระนาว ขณะที่ความเห็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ระบุค่าแรงอัตราใหม่ไม่มาก
ไม่ควรเป็นเหตุผลของการขึ้นราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อพุ่ง
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-6 บาททั่วประเทศ ให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2563 ว่า การปรับขึ้นค่าแรงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ ถึงจะขึ้นในอัตราไม่สูงมาก แต่จะเป็นผลดีให้เกิดการใช้จ่ายในระบบมากขึ้น เป็นการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนที่ตรงจุด และเป็นรูปธรรมที่สุด หรือที่เรียกว่า ประชาธิปไตยกินได้ สอดรับไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทยอยออกมาก่อนหน้านี้
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านกล่าวหารัฐบาลหลอกลวง โดยช่วงหาเสียงประกาศจะขึ้นค่าแรง 425 บาทนั้น รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า การจะปรับค่าแรงขึ้นถึง 425 บาทนั้น เป็นนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐประกาศไว้ตอนหาเสียง ซึ่งได้ยืนยันมาตลอดว่าจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาลแล้ว เราไม่ได้ลืมสัญญาประชาคม แต่ต้องพิจารณาบริบทต่างๆในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของปัจจัยทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการและแรงงาน ที่สำคัญต้องให้แรงานทุกคนได้ประโยชน์จากนโยบายอย่างทั่วถึง เพราะหากปรับขึ้นในอัตราที่สูงในทันทีหรือไม่รอบคอบ ก็จะมีผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ผลเสียก็จะตกอยู่ที่แรงงานเอง
น.ส.ทิพานันกล่าวต่อว่า จึงขอให้ผู้ใช้แรงงานและประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลพยายามสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีรายได้มากขึ้นอย่างแน่นอน ในส่วนของแรงงาน อยากให้มุ่งเน้นพัฒนาฝีมือเพิ่มขึ้น อัตราค่าแรงก็จะสอดรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งมีหลายองค์กรที่พัฒนาวิชาชีพให้เป็นมืออาชีพ เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งการที่แรงงานเข้ารับการอบรม ฝึกทักษะแล้วได้รับใบประกาศนียบัตรรับรอง สามารถนำไปสมัครงานที่มีรายได้สูงขึ้นหรือขอเพิ่มค่าแรงตามคุณวุฒิวิชาชีพได้
“พรรคพลังประชารัฐเรียนรู้จากบทเรียนสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ประกาศขึ้นค่าแรง 300 บาทแล้ว ทำให้อัตราค่าแรงขึ้นต่ำทั่วประเทศเพิ่มขึ้นถึง 70% ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจขนาดเล็ก กลุ่มเอสเอ็มอี และภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก และแรงงานยังไม่ทันปรับตัวให้มีศักยภาพเพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้ผู้ประกอบการยิ่งต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้น และขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศในการส่งออกลดลง การจ้างงานในบริษัทเล็กๆลดลง ส่งผลให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านในการขึ้นค่าแรง “ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
ด้านนายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-6 บาทว่า ไม่ได้ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้น จึงไม่ควรเป็นเหตุของการปรับเพิ่มราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ไม่มีผลต่อการกระตุ้นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจมากนัก เพราะปรับเพิ่มเพียงเล็กน้อย ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มยังไม่ได้เป็นค่าแรงที่เพียงพอต่อมาตรฐานการดำรงชีพ จึงขอเสนอรัฐบาลมีมาตรการสวัสดิการเพิ่มเติมให้ผู้มีรายได้น้อย และมีมาตรการดูแลสถานประกอบการขนาดเล็กที่อาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้าง
ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอาจทำให้มีการลดชั่วโมงการทำงานและเลิกจ้างมากขึ้น จึงเสนอให้นำระบบค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงมาบังคับใช้ในไทย โดยให้มีอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้ทำงานเต็มเวลามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการจ้างงานและบริหารต้นทุนด้านแรงงานได้ดีขึ้นและจ้างเท่าที่จำเป็นต้องใช้แรงงาน และระบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่นยังสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจเติบโตต่ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี