12 ธ.ค.2562 ตามที่ กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญในเรื่อง "การขยายกำหนดเวลาดำเนินการตาม “พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562” เนื่องจากมีความล่าช้าในการพิจารณาออกกฎหมายลำดับรองอีก 8 ฉบับ ซึ่งอาจทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ทราบถึงหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติที่ชัดเจน และไม่สามารถดำเนินการแจ้งบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ถูกต้องครบถ้วนตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น จึงเห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการ ของผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกำหนดในพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 เฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี 2563 เป็นการทั่วไปนั้น
นายวิทย์ กุลธนวิภาส CEO-Regional Operating Principal , Keller Williams ( ประเทศไทย ) บริษัทตัวแทนขายและที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มียอดขายสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกาและมีเครือข่ายจำนวนพนักงานสูงที่สุดทั่วโลก ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับขยายการบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่า เป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่พร้อมและมีอุปสรรคในหลาย ๆด้าน เช่น การสำรวจและประเมิน การเริ่มใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ ยังมีช่องว่างในการบังคับใช้ที่ต้องกลับมาพิจารณา เช่น พนักงานตรวจสอบและบังคับเป็นหน่วยงานเดียวกัน ที่อาจจะทำให้เกิดอำนาจมากเกินไป ทำให้อาจจะเกิดการเลือกปฏิบัติได้
นอกจากนั้น การเริ่มใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินใหม่ จะทำให้ส่งผลลบต่อสภาพตลาดเชิงจิตวิทยา ซึ่งสวนทางกับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เช่น การเพิ่มการลดหย่อนภาษี การลดค่าโอน ค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% และโครงการบ้านดีมีดาวน์ ซึ่งยังมีความสับสนในภาคปฏิบัติรวมทั้งการลงทะเบียนขอสิทธิ์อยู่
ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2563 ยังมีผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 และคาดว่าจะส่งผลรุนแรงขึ้นต่อตลาดสินเชื่อทิ่อยู่อาศัย เนื่องจากสัญญาซื้อขายที่ได้รับการยกเว้นมาตรการ LTV ในกรณีที่ทำสัญญาก่อน 15 ตุลาคม 2561 เริ่มจะทยอยโอนหมดไปในไตรมาสแรกของปี 2563 ดังนั้น การระบายสต็อกขายจึงต้องขายให้กับผู้ซื้อที่เข้าเกณฑ์ LTV เกือบทั้งหมด ปี 2563 จึงจะเกิดผลกระทบอย่างแท้จริงจากมาตรการ LTV ซึ่งผู้ซื้อยังไม่มีเงินสะสมที่จะใช้ในการชำระเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีแนวโน้มในการถดถอยของตลาดอย่างมาก
นอกจากนั้น ผลกระทบจากค่าเงินบาทยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้กำลังซื้อลดน้อยลง ดังนั้น การใช้นโยบายรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย อาจจะเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิด เนื่องจากสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกดิจิทัล และการเพิ่มขึ้นของการใช้ Crypto Currency ทั่วโลกให้ค่าเงินบาทไม่มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงได้ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจที่วางไว้ 10 ปีข้างหน้า อาจจะไม่มีประโยชน์ ถ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์เกิดการถดถอยในช่วงระยะเวลานี้ จึงเรียกร้องให้ใช้ข้อมูลประเมินผลจากการใช้ LTV อย่างจริงจังและตรงกับความเป็นจริง และพิจารณาการปรับมาตรการนี้อย่างเร่งด่วน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี