น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อของ “โครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน” วงเงิน 3,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ว่า ภายหลังกองทุนดังกล่าวเริ่มปล่อยสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยเปิดให้ยื่นคำขอต่อไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2563 หรือจนกว่าวงเงินจะหมด ล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2562 มีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ได้รับการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 31 ราย วงเงินรวม 82.10 ล้านบาท และยังมีคำขอสินเชื่อ อีก 700 ราย วงเงินรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ที่กำลังทยอยเข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองของคณะอนุกรรมการ
ทั้งนี้จังหวัดที่เอสเอ็มอีมีการยื่นคำขอสินเชื่อมากที่สุด 7 อันดับแรก ได้แก่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สงขลา สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม และภูเก็ต โดยคาดว่าจากขั้นตอนการอนุมัติ จะสามารถปล่อยสินเชื่อวงเงินรวม 3,000 ล้านบาท ได้หมดภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563
“สินเชื่อดังกล่าวจะเป็นเงินทุนให้เอสเอ็มอีลุยธุรกิจใน 2563 ขณะเดียวกัน นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม ยังสั่งการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการข้อมูลเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2563 ผ่านความช่วยเหลือเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน ทั้งการพัฒนาต่อยอดให้เติบโต เข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ การทรานส์ฟอร์มให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการช่วยเหลือสินค้าที่เสี่ยงตกเทรนด์ ไม่ได้รับความนิยม ให้กลับมาประกอบธุรกิจอย่างเข้มแข็งได้”น.ส.สุชาดากล่าว
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ พ.ศ.... และมอบหมายให้สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และฝ่ายกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 เพื่อเสนอกฎหมายดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ยังได้มีมติเห็นชอบโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีปี 2563 แล้ว 5 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21, 2.โครงการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอาหารภาคตะวันออกสู่อุตสาหกรรม 4.0, 3.โครงการยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีการแปรรูป
4.โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และ 5.โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการนำประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การพัฒนาสถานประกอบการ เพื่อให้การส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีอย่างครบทุกมิติ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านบีซีจี (ไบโอ-เซอร์คูล่า-กรีน อีโคโนมี) โดยอัดงบประมาณกว่า 52 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการ และคาดว่าจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านบาท
“โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีนั้น ถือเป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้อย่างตรงเป้า อีกทั้งยังช่วยเสริมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสามารถต่อยอดแนวคิดในการทำผลิตภัณฑ์เพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้ง 5 โครงการของปี 2563 คาดว่าจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างเร่งพิจารณาอนุมัติโครงการเพิ่มเติมอีก 17 โครงการ วงเงินรวม 143.35 ล้านบาทจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มอีกหลายร้อยล้านบาทแน่นอน”นายกอบชัยกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี