นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า กรมได้เชิญสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนในกลุ่มสินค้า 573 รายการ ที่สหรัฐฯ ประกาศจะตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี)ในเดือนเมษายน 2563 เช่น อาหารปรุงแต่งเซรามิก เคมีภัณฑ์ เครื่องหนังฟอก กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเหล็ก เป็นต้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ เพื่อที่จะได้รับทราบข้อมูลผลกระทบและความต้องการที่แท้จริงของภาคเอกชนที่อยากจะให้ภาครัฐช่วยเหลือแล้ว ซึ่งถือเป็นการดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอคืนสิทธิจีเอสพี
“กรมได้ตามกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เจอหมดแล้ว มีกลุ่มที่กังวลกับไม่กังวลเรื่องถูกตัดจีเอสพี แต่กลุ่มเล็กๆ อย่างผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือ SMEs ยังไม่ค่อยเจอยังไม่ออกมา เพราะตอนนี้เขายังส่งออกได้ ยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสหรัฐฯ ยังไม่ตัดจีเอสพี แต่พอถึงเวลาตัด ตอนนั้นก็จะรู้ว่าตัวเองได้รับผลกระทบ กรมจึงต้องทำหน้าที่ต้องตามหาให้เจอ แล้วหาทางช่วยเหลือ ช่วยรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น”
สำหรับมาตรการรองรับการถูกตัดจีเอสพีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เบื้องต้นกำหนดไว้ 4 แนวทาง คือ 1.ด้านการเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งขณะนี้กำลังหารือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เช่น อาจจะลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมให้กับผู้ส่งออก เป็นต้น 2.ด้านตลาด เช่น เร่งทำข้อตกลงทางการค้าโดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (อียู) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) เพื่อให้ผู้ส่งออกมีตลาดส่งออกใหม่ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ สนับสนุนกิจกรรมการขยายตลาดใหม่ โดยการจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดคณะนักลงทุน นักธุรกิจร่วมกิจกรรมเจรจาธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนในลักษณะเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาในการเข้าสู่ตลาดใหม่3.ด้านการอำนวยความสะดวก เช่น ลดต้นทุนการผลิต ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และ 4.ด้านการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างนวัตกรรม เช่น ส่งเสริมการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) สนับสนุนการนำงานวิจัยมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ (สตาร์ทอัพ) สร้างผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมเพื่อเจาะในตลาดสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
ส่วนผลการใช้สิทธิประโยชน์การส่งออกสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และจีเอสพีทุกระบบ ในช่วง11 เดือน ของปี 2562 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีมูลค่าการใช้สิทธิรวม 65,642.88 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิ 75.98% ลดลง 4.14% แบ่งเป็นการใช้สิทธิภายใต้เอฟทีเอมูลค่า 60,790.30 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 5.52% เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทแข็งค่า โดยอาเซียนมีการใช้สิทธิสูงสุด ตามด้วยจีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และการใช้สิทธิจีเอสพีมูลค่า 4,852.57 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.44% โดยสหรัฐฯ ใช้สิทธิสูงสุด ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐ และนอร์เวย์
สำหรับตลาดไทยส่งออกภายใต้เอฟทีเอสูงสุด 5 อันดับยังคงเป็น อาเซียน มูลค่า 22,716.49 ล้านดอลลาร์ รองลงมาเป็น จีน มูลค่า 16,566.45 ล้านดอลลาร์ ออสเตรเลีย มูลค่า 7,285.75 ล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่น มูลค่า 6,971.05 ล้านดอลลาร์ และอินเดีย มูลค่า 3,963.52 ล้านดอลลาร์ ส่วนเอฟทีเอที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย-ชิลีใช้สิทธิ 100% ไทย-เปรู 93.28% อาเซียน-จีน 90.94% ไทย-ญี่ปุ่น 88.88% และอาเซียน-เกาหลี 82.86% ด้านรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด น้ำตาลจากอ้อย และผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสด หรือแห้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี