"เศรษฐพงค์"ชี้ทำไมไทยต้องเร่งผลักดัน"National digital platform"เพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และรองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ความมั่นคงของประเทศที่เปราะบางกำลังปรากฎชัด เมื่อคนไทยเกือบทั้งประเทศใช้แพลตฟอร์มที่เป็นของต่างชาติ ข้อมูลบนแพลตฟอร์มจึงเป็นของต่างชาติ ก็หนีไม่พ้นที่เราอาจถูกแทรกแซงหรือโจมตีได้ในทางใดทางหนึ่ง เนื่องจากเขารู้ความเป็นไปของเราหมด และในทางกลับกันเราไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเขาเลย ตรงนี้อาจเกิดเป็นการครอบงำทางวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศได้ หากเราไม่ส่งเสริมให้มีการทำและใช้แพลตฟอร์มของเราเองควบคู่ไป อีกทั้งเรื่องของการควบคุมระบบเศรษฐกิจ การเสียภาษี จะไปอยู่ในเมืองของต่างชาติที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม และประเทศไทยจะตกอยู่ในภาวะไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถจัดเก็บรายได้ เก็บภาษี หรือควบคุมระบบเศรษฐกิจของประเทศได้
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนี้ หากผู้ประกอบการยังคงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ก็อาจต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากในการอยู่รอดต่อไปในอุตสาหกรรมและเกิดความเสี่ยงที่จะต้องหายไปจากอุตสาหกรรมในที่สุด ดังนั้นในภาคธุรกิจต่างๆ จึงควรต้องเตรียมการเพื่อให้ประสบความสำเร็จและสามารถอยู่รอดในโลกที่พฤติกรรมลูกค้า ตลาด การเมืองและประชากร เทคโนโลยีและทักษะ โอกาสและทางเลือกต่างๆ มีความแตกต่างกันอย่างมาก
อนาคตของกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม และ IT
ปัจจุบันผู้คนในวัยทำงานประมาณ 4 พันล้านคนจากทั้งหมด 5,500 ล้านคน มีสมาร์ทโฟนใช้อยู่แล้ว ดังนั้นตลาดสมาร์ทโฟนจะเป็นตลาดที่อิ่มตัวอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังพบว่าสมาร์ทโฟนมียอดขายใหม่เกิดขึ้นมากถึง 1,400 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งนั่นสืบเนื่องมาจากว่าผู้คนส่วนใหญ่มีความต้องการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นรุ่นที่ใหม่กว่าเดิมในทุกๆ 2 - 3 ปี ซึ่งคาดว่าภายในปี 2025 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ กว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มที่จะมีราคาลดลงอย่างรวดเร็ว
รูปแบบธุรกิจของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 การเข้าชมเว็บของผู้คนในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ มากกว่า 90% จะเป็นการรับชมวิดีโอ ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร มีการรับชม BBC iPlayer, Netflix และ YouTube เป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมดในประเทศ แต่ขนาดข้อมูลของวิดีโอที่มีความยาว 2 ชั่วโมง จะเทียบเท่ากับอีเมลจำนวนร้อยล้านฉบับ หรือการโทรด้วยเสียงเป็นวันๆ ดังนั้นข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มขึ้นถึง 1,000 เท่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้า บนอุปกรณ์มือถือที่มีกว่า 50,000 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G ด้วยความเร็ว 10 Gbps หรือมากกว่านั้น จึงทำให้ผู้คนจะใช้เวลาในการดาวน์โหลดภาพยนตร์ความละเอียดสูง (high-definition) น้อยกว่า 3 วินาที ดังนั้นอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่ เพื่อให้รองรับปริมาณข้อมูลที่มีอย่างมหาศาล อย่างเช่น การให้บริการคลาวด์สำหรับบริษัทต่างๆ
การชำระเงินด้วยมือถือจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมและธนาคาร
การใช้ mobile banking และการชำระเงินด้วยมือถือในประเทศกำลังพัฒนาจะแพร่หลายอย่างมาก โดยหนึ่งในสี่ของผู้คนวัยทำงานทั่วแอฟริกามีการใช้บัญชีธนาคารบนมือถือ และการชำระเงินผ่านมือถือในเอเชียกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก ซึ่งกลับกลายเป็นปัญหาแก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่จะต้องบริหารจัดการกับจำนวนธุรกรรมกว่า 100 ล้านรายการต่อเดือนบนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ประชากรกว่า 40 ล้านคนในสหราชอาณาจักร จะใช้บริการชำระเงินบนมือถือ แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ และยังไม่กล้าทำธุรกรรมออนไลน์
อุปกรณ์สวมใส่ได้จำนวนกว่าพันล้านเครื่อง
ภายในปี 2025 จะมีผู้คนมากกว่าพันล้านคนที่สวมใส่อุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น wristbands ที่สามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของร่างการ หรือนาฬิกา smart watches ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และภายในปีเดียวกันนั้นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะถูกพัฒนามาอยู่บนข้อมือของผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ Smart gadget วัดความดันโลหิตหรือความผิดปกติของหัวใจได้ โดยคาดว่าจะมีเหตุการณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างน้อย 50 ล้านเหตุการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหัวใจ
เราจะพบมนุษยชาติทั้งหมดได้ในคลาวด์
มากกว่า 90% ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ทั่วโลกมีการใช้อีเมลบนคลาวด์แล้ว หรือมีการใช้งานเว็บไซต์ เช่น Facebook, LinkedIn, YouTube, Twitter หรือ Instagram ซึ่งเป็นข้อมูลที่จัดเก็บในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมโยงส่วนต่างๆ ของโลกเข้าด้วยกัน ทั้งการใช้งานบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน การประมวลผลบนคลาวด์ จะกลายเป็นวิธีการหลักในการป้องกันการสูญหายของข้อมูล โดยคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเกือบส่วนใหญ่ทุกเครื่องจะมีระบบการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ
ปัจจุบันรูปแบบการให้บริการ Software จะมีลักษณะคล้ายกับการเช่าใช้ โดยคิดค่าบริการตามลักษณะการใช้งานจริง เช่น ตามจำนวนผู้ใช้งาน หรือระยะเวลาการใช้งานเป็นวัน สัปดาห์ เดือน หรือปี ซึ่งจะดำเนินงานบนคลาวด์ ทำให้ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของ Hardware, Software License รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบ ทำให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านนี้ลงได้
บริษัทต่างๆ จำนวนมาก กำลังเปลี่ยนแปลงระบบส่วนใหญ่ไปสู่ระบบคลาวด์อย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดตั้งระบบคลาวด์ส่วนบุคคล แม้ว่าจะมีปัญหาทางด้านความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนธนาคารและการให้บริการด้านการเงิน ภายหลังจากที่พบว่ามีการโจมตีครั้งใหญ่และรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ค่อยๆ เข้ายึดและครอบครองโลกของเรา และนับวันก็จะเริ่มมีพลังมากขึ้น
ปัจจุบันมีการพูดถึง Technical Singularity มากขึ้น หรือการที่เทคโนโลยีมีอัตราความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์ในทุกๆ ด้าน หากมีสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์ที่มีเครือข่ายประสาทเทียม (neural networks) ที่จำนวนมากกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ซึ่งจะสามารถควบคุมชะตากรรมในอนาคตของมนุษยชาติ ทำให้เกิดการเติบโตของเทคโนโลยีในแบบที่ควบคุมไม่ได้ และจะนำไปสู่ยุค post-human era หรือจุดสิ้นสุดของการที่มนุษย์เป็นศูนย์กลdางของทุกสิ่งทุกอย่าง
มนุษย์เราได้สร้างสมองขนาดใหญ่ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้รับความรู้ และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ โดยกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการถกเถียงในประเด็นที่ว่าคอมพิวเตอร์จะสามารถเอาชนะผู้เล่นหมากรุกที่เก่งที่สุดในโลกได้หรือไม่ แต่ปัจจุบันนี้แสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์สามารถเอาชนะมนุษย์ได้ หรือแม้แต่การเข้าใจคำพูดของมนุษย์โดยไม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับเสียงพูดของแต่ละคนแต่อย่างใด
ปัจจุบันหุ่นยนต์แพทย์ที่ไม่เคยเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์เลย แต่กลับมีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคในภาวะฉุกเฉินได้มากกว่าแพทย์หรือพยาบาล หรือ AI ที่สามารถตรวจจับการฉ้อโกงทางการเงินได้ดีกว่ามนุษย์ สามารถทำนายการก่ออาชญากรรม หรือพยากรณ์สภาพอากาศได้อย่างแม่นยำ สามารถคาดการณ์ว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันใดที่กำลังจะชำรุดเสียหาย เป็นต้น และ AI ยังสามารถทำนายด้วยความแม่นยำมากถึง 90% ในเรื่องข้อบกพร่องของยีนที่หลากหลาย เพียงแค่ใช้รูปร่างใบหน้าของผู้คนที่แตกต่างกันจากการจดจำใบหน้า (face recognition)
อาชญากรรมไซเบอร์ หนึ่งในภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
การบูรณาการเทคโนโลยี Internet of Things, Big Data, คลาวด์คอมพิวติ้ง และปัญญาประดิษฐ์ เข้าด้วยกันกับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ จำนวนกว่า 6 พันล้านเครื่อง แม้ว่าจะทำให้เกิดศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่ก็มักจะตามมาด้วยเป้าหมายอาชญากรรมที่มีขนาดใหญ่และรุนแรง
ผู้คนกว่า 4 พันล้านคนทั่วโลก ได้รับผลกระทบจากการถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งจะผลักดันให้บริษัทต่างๆ และแม้แต่ภาครัฐเอง ให้เห็นความสำคัญและมีการลงทุนในเรื่องมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น
ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันมนุษย์สามารถสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น สร้างความโกลาหล หรือแม้แต่เข้ายึดอำนาจได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปก่อเหตุด้วยตนเอง เพียงใช้แค่ใช้รหัสคอมพิวเตอร์ 2 - 3 บรรทัดเท่านั้น ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการคุกคามทางไซเบอร์ได้เลย เว้นเสียแต่ว่าเราทุกคนจะหยุดการเชื่อมต่อทางดิจิทัลทั้งหมดในโลก
ภายในปี 2025 การสูญเสียทางไซเบอร์มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรานับรวมการโจมตีในวงกว้างที่เชื่อมโยงกับรัฐบาล ซึ่งจะมีมากถึง 70% ของการโจมตีที่สำคัญ โดยในบริษัทใหญ่ๆ ที่มีข้อมูลจำนวนมาก มักจะเกิดการรั่วไหลของข้อมูล (data breach) ซึ่งพบว่าเมื่อเกิดการรั่วไหลของข้อมูลขึ้นมาในแต่ละครั้งจะมีความเสียหายเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 6.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการโจมตีกลุ่มเป้าหมายแบบดั้งเดิมอย่างเช่นการโจมตีเว็บไซต์ธนาคารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรุกรานทางการค้า
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า เทคโนโลยี Internet of Things (IoT), Big Data, cloud computing, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรูปแบบบนเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งใน 3-5 ปีนี้ กำลังจะครอบคลุมทั่วโลกทำให้แพลตฟอร์มของต่างชาติยกระดับขึ้นไปอีกขั้น การบูรณาการของเทคโนโลยีเหล่านี้ในรูปแบบใหม่จะเป็นการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ สร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน จะทำให้รูปแบบ Business model เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งสร้าง National digital platform ของเราเอง อีกทั้งจะต้องไม่ปฏิเสธที่จะต้องสร้างความร่วมมือในเชิงการแลกเปลี่ยนข้อมูล Big data กับ Platform ของต่างประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย ตนจึงอยากฝากไปยังรัฐบาลให้สนับสนุนการมี National digital platform ที่เป็นของไทย และต้องมีมาตรการส่งเสริม บูรณาการหน่วยงานรัฐให้ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องตระหนักและเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการใหม่หมดเพื่อพัฒนา National digital platform ขึ้นมาเป็นของเราเองให้ได้ ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมภาคเอกชนของไทยให้เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มขึ้นมา รวมถึงต้องมีการออกกฎหมายเพื่อรองรับที่ทันสมัยและยกเลิกกฎหมายเก่าที่ล้าสมัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี