“กสทช.” จ่อเชือด 3 ช่องทีวีดิจิทัลไลฟ์สด “กราดยิงโคราช” เตรียมชี้แจงข้อมูลการรายงานข่าว 18 ก.พ.นี้
11 กุมภาพันธ์ 2563 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เชิญผู้ประกอบการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล (ทีวีดิจิทัล) เนื่องจากมีการนำเสนอข่าวและข้อมูลเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ปรากฏว่าสื่อมวลชนบางรายได้นำเสนอรายการข่าวด้วยรูปแบบการรายงานสด หรือ ไลฟ์สด รายงานสถานการณ์และข้อมูลต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การรายงานข่าวแบบต่อเนื่อง การรายงานข่าวเหตุการณ์ซ้ำกันหลายครั้ง เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน ความปลอดภัยและความตึงเครียดของสังคมและประชาชนในบริเวณโดยรอบ ตลอดจนผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนและอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้
พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว มีสื่อบางสำนักได้นำเสนอข่าวรูปแบบไลฟ์สดการรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
อย่างไรก็ตามจึงได้เรียกผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลมารับฟังแนวทางปฏิบัติ โดยกสทช.จะจัดทำร่างหลักเกณฑ์การปฏิบัติในการนำเสนอข่าวในภาวะวิกฤตและแนวทางการนำเสนอข่าวในภาวะวิกฤต ซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ โดยจะมีหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ,กรมสุขภาพจิต สำนักงานตำรวจ มาช่วยร่างฯ หลักเกณฑ์ดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ จะเป็นแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมีมาตรการลงโทษที่เข้มข้นมากขึ้น เช่น การระงับการออกอากาศรายการในทันทีที่เห็นว่ารายการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน ตลอดจนผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน พร้อมทั้งจัดทำบทลงโทษด้านอื่น ๆ
ทั้งนี้ซึ่งปัจจุบัน กสทช.มีบทลงโทษตาม มาตรา 37 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 โดยบทลงโทษจะเริ่มเบาไปหนัก ตั้งแต่ ตักเตือน ปรับ พักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการ จนถึงเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ หากผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยกับบทลงโทษ สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้
อย่างไรก็ตาม กสทช.มีหน้าที่กำกับดูแลการรายงานสถานการณ์บนจอทีวีเท่านั้น ส่วนการรายงานสดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ กสทช.ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแล แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส
ขณะเดียวกันในวันที่ 18 ก.พ.63 กสทช.เตรียมเรียกผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลบางรายจำนวน 2-3 ราย มาชี้แจงข้อมูลการรายงานสดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“มีข้อเสนอแนะเช่นกันว่า หากเกิดสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน ควรที่จะกำหนดให้มีช่องโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเพื่อเป็นช่องการรายงานเพียงช่องเดียวจาก รัฐบาล ซึ่งเราจะนำข้อเสนอต่างๆ เข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดเช่นกัน”
นายเดียว วรตั้งตระกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริการช่อง31 เปิดเผยว่า วันนี้กสทช.เรียกมารับฟัง การชี้การรายงานข่าวและข้อมูลเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมา สำหรับการรายข่าวกรณีดังกล่าวเป็นการรายงานสดเนื่องจากช่องวัน เป็นสถานีทีวีดิจิทัลแรกไปถึงสถานที่เกิดเหตุ โดยในช่วงแรกมีการรายงานสดของผู้สื่อข่าว ซึ่งเป็นการไลฟ์สดสถานการณ์จริงจากที่เกิดเหตุ และหลังจากมีคำสั่ง กสทช. ที่สั่งทุกช่องไม่ให้ไลฟ์สดในช่วงปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือตัวประกัน
ทางสถานีช่องวันได้ปรับรูปแบบการงานสด เป็นการรายงานสดโดยผู้สื่อข่าวไปยังผู้ดำเนินรายการ ทางสาถานีได้รับฟัง โดยไม่ได้มีการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวโดยหลักการแล้ว หน้าที่การกำกับดูแล การรับชมเนื้อหาผ่านแพลต์ฟอร์มออนไลน์ หรือ OTT กระทรวงไม่มีอำนาจและกฏหมายมารองรับการกำกับดูแล แต่เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้ให้บริการเอกชน ซึ่งการกำกับดูแลจะต้องมีหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. เนื่องจาก กระทรวงไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตการให้บริการ ซึ่งนี่เป็นปัญหาของการกำกับดูแล เพราะการปิดกั้นแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการเอกชน หน่วยงานภาครัฐสามารถดำเนินการเองได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี