นายอิทธิชัย ยศศรี รองผู้อำนวย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ. )เปิดเผยว่า
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน2563 หดตัว 17.21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ระดับ 79.04 จุด ต่ำสุดในรอบ 101 เดือน (หรือในรอบ8 ปี5เดือน)หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเดือนพฤศจิกายน 2554 ซึ่งขณะนั้นดัชนีอยู่ที่ 66.95 จุดซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนมีการหยุดการผลิตชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19
ส่วนไตรมาส 2 ของปีนี้คาดว่า MPI จะลดลงมากขึ้น เนื่องจากมีบางอุตสาหกรรมหยุดการผลิตชั่วคราว เช่น รถยนต์ เป็นต้น ขณะที่ภาพรวมของ MPI ครึ่งปีแรกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ที่จะทำให้เกิดการบริโภคเต็มที่ และขึ้นอยู่กับภาวะการณ์ส่งออกของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมโรคและมาตรการของประเทศต่างๆ
" MPI ที่ลดลงมีผลมาจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวและโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งต้องหยุดการผลิตชั่วคราว เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนเมษายนมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 12.64% เป็นต้น ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมเดือนเมษายนอยู่ที่ 51.87%"นายอิทธิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตามจากการแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งสินค้าทั้งในและระหว่างประเทศให้สามารถส่งสินค้าได้ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวเพิ่มขึ้นในบางอุตสาหกรรม เช่นอุตสาหกรรมอาหารที่เพิ่มขึ้น 0.5% กลับขึ้นมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและอาหารสัตว์ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากจีนและสหรัฐฯ ถ้าหักอุตสาหกรรมน้ำตาลซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและหดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 36% จะส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารโดยรวมเพิ่มถึง 7.2% เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมยาที่เพิ่มขึ้น 38.52% นับเป็นการขยายตัวในระดับ 2 หลักติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนี MPI เดือนเมษายน 2563 ได้แก่ รถยนต์และเครื่องยนต์ น้ำมันปิโตรเลียม และเบียร์ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้โรงงานต้องหยุดสายการผลิต ประชาชนต้องหยุดอยู่บ้าน ลดการเดินทาง และการถูกสั่งห้ามการจำหน่ายสุรา
ขณะที่อุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีได้แก่ผลิตภัณฑ์คอนกรีตและปูนซีเมนต์ ขยายตัว 23.47% เภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38.52% จากผลิตภัณฑ์เกือบทุกรายการ เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการบางรายได้สร้างอาคารเก็บยาเพิ่มเพื่อขยายความสามารถในการสต๊อคล่วงหน้า ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น 10.46% อาหารทะเลกระป๋อง เพิ่มขึ้น 34.72% อาหารสัตว์สำเร็จรูป เพิ่มขึ้น9.18%
นายอิทธิชัยย้ำว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังต้องจับตาใน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การปลดล็อคทางเศรษฐกิจว่าจะกลับมาดำเนินการเต็มที่ได้เมื่อไหร่ การควบคุมโรคของประเทศคู่ค้า และรายได้และการออมที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็วแค่ไหน โดยในเดือนพฤษภาคมประเทศไทยควบคุมการระบาดได้ดี ส่งผลให้รัฐบาลเริ่มมาตรการปลดล็อคกิจกรรมและกิจการบางประเภท แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับแผนการผลิตให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคในสภาวะชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
"สศอ.ยังมีความเป็นห่วงผู้ประกอบการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพราะยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งยอมรับว่าอาจยากกว่าการควบคุมโรคระบาด โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ยังมีปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนของธุรกิจได้ แม้รัฐบาลจะเยียวยาช่วยเหลือค่าครองชีพให้
กับประชาชนในระดับหนึ่ง แต่ก็จำเป็นต้องนำเงินออมที่มีอยู่มาใช้ทั้งหมดหรือบางคนอาจติดลบไปแล้ว เบื้องต้นประเมินว่าการจับจ่ายใช้สอยและเศรษฐกิจไม่น่าจะกลับมาเป็นปกติได้เร็วไปกว่าเดือนกันยายนนี้ "นายอิทธิชัยกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี