nn ทำเอาแวดวงโทรคมนาคมนั่งทำตาปริบๆ...เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 133/2563 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 แต่งตั้ง “คณะกรรมการขับเคลื่อน 5จีแห่งชาติ” โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 3 ท่าน เป็นรองประธานกรรมการอีก 17 ท่าน คือรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆและผู้ทรงคุณวุฒิ...อำนาจหน้าที่คือ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5จี ของประเทศ ในส่วนของการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5จี ภายหลังจากที่ผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมมีการประมูลคลื่นความถี่และมีการลงทุนขยายโครงข่ายในพื้นที่ต่างๆ ไปแล้ว โดยจะไม่ไปก้าวล่วงอำนาจของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในส่วนของการบริหารจัดการคลื่นความถี่แต่อย่างใด มีแต่จะให้การสนับสนุนการเรียกคืนคลื่นความถี่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หรือนำมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น....
นั่งวิเคราะห์ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้แล้ว...ดังกล่าวแล้วก็ให้นึกสงสัย กับนโยบายของรัฐบาล...และสงสัยว่า บทบาทของ“คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ...หายไปไหน? เหตุใดบทบาทในการขับเคลื่อนนโยบาย 5จีที่ควรจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการดิจิทัลฯ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลขับเคลื่อนนโยบายThailand 4.0 ที่ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” มาโดยตลอดกับอันตรธานหายไป?…จะอ้างว่า เพราะการขับเคลื่อน 5จี เป็นเรื่องใหญ่ เกินบทบาทอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดิจิทัลฯ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหากจะจัดตั้งหรือเพิ่มเติมคณะทำงาน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน 5จี ให้สอดรับ กับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล หรือนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อยู่แล้ว...แล้วเหตุใด นายกฯ ต้องจัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา ทำงานซ้ำซ้อน กับคณะกรรมการดิจิทัลฯเดิมที่มีอยู่แล้ว....
มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลและนายกฯ คงไม่อาจพึ่งพากลไกของคณะกรรมการเศรษฐกิจดิจิทัลได้ หรือคณะกรรมการดิจิทัลคงไม่สามารถจะสนองตอบนโยบายไทยแลนด์ 4.0 การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ตามเป้าหมายของรัฐบาลได้ดีพอ นายกฯถึงต้องจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน 5จีขึ้นมาโดยเฉพาะ...หรือเห็นตัวอย่าง...ความล้มเหลวของการจัดการศึกษาออนไลน์ในยุคโควิด-19 ...ที่มีปัญหาทั้งจากความไม่พร้อมของนักเรียนและผู้ปกครอง ความไม่พร้อมของโรงเรียนสถานศึกษาในท้องถิ่นพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะความไม่พร้อมของ infrastructure ทั้งเนต WiFi เนตประชารัฐที่ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ นายกฯถึงต้องลงมาลุยเองผ่าน “คณะกรรมการ 5จี”
อย่างไรก็ตาม หากทุกฝ่ายจะได้พิจารณาผลงานความสำเร็จของการต่อยอดเทคโนโลยี เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็มีให้เห็นอยู่หลายตัวอย่าง เช่น บทบาทการทำงานของ “นักรบเสื้อเทา”อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ที่เป็น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนผู้ให้บริการมือถือคือ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัดหรือ เอไอเอส ที่มีส่วนในการสนับสนุน อสม.มาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนผ่านแอพพลิเคชั่น “อสม.ออนไลน์” นั้น ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จ ที่น่าศึกษานำไปเป็นต้นแบบ ล่าสุด กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ยังร่วมกับเอไอเอสพัฒนาแอพพลิเคชั่น “อสม.ออนไลน์” ให้สามารถทำงานเชิงรุก ได้ดีขึ้น โดยนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา “สถานการณ์โควิด-19 ของประเทศไทยผ่านจุดวิกฤติมาแล้ว จากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลเริ่มคลายล็อกดาวน์ ก็อาจเป็นการเพิ่มโอกาสความเสี่ยงที่จะเพิ่มปริมาณผู้ติดเชื้อในระลอก 2 ได้ ดังนั้น การเฝ้าระวังตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในชุมชนทั่วประเทศ จากการทำงานของกลุ่ม อสม. ที่มีอยู่กว่า 1 ล้าน5 หมื่นราย จึงมีความสำคัญสูงสุด ในการสกัดกั้นการระบาดในระลอกที่ 2
ไม่รู้ว่านโยบายยกระดับการศึกษาสู่ระบบออนไลน์ของประเทศไทยได้เรียนรู้ความสำเร็จจากอสม.ออนไลน์นี้หรือไม่ ถึงทำให้ผลออกมาเป็นเช่นนั้น โดยสรุปคือจะจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนกันมาอีกกี่ชุด แต่หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่รู้จักการบูรณาการการใช้ประโยชน์ จัดเทคโนโลยีที่แท้จริง มันก็คงไม่ต่างไปจากบทบาท ของกระทรวงดีอีเอส ที่แม้จะมีคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อยู่ในมือ แต่ก็กลับทำงานไม่เป็น
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี