นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการติดตามการดำเนินงานและมอบนโยบายสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ว่าได้มอบหมายให้บีโอไอเร่งศึกษามาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบการไทยลงทุนในประเทศมากขึ้น ตั้งเป้าหมายยกระดับผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพขนาดกลางและรายย่อยไปสู่การเป็นยูนิคอร์น (สตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ) ภายใน 5 ปี มีมูลค่ากิจการมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน(ฮับ)อุตสาหกรรมต่างๆ ในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาเวียดนาม และไทย)
อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปของไทยได้เปรียบในแง่ของผลผลิตด้านการเกษตรที่มีคุณภาพเป็นวัตถุดิบที่ต่างชาติให้การยอมรับ การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ สิทธิประโยชน์ และมีห่วงโซ่การผลิตที่เข้มแข็ง แม้จะมีอัตราค่าจ้างแรงงานอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่น แต่ไทยก็ยังเป็นประเทศที่ต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุน ซึ่งในระยะข้างหน้าอุตสาหกรรมบริการด้านการแพทย์การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ ดิจิตอล ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตสดใส
“วันนี้ให้โจทย์บีโอไอไปว่าถ้าไทยจะเป็นฮับเหล่านี้จะดึงดูดให้เกิดการลงทุนได้อย่างไร โดยให้ระดมสมองร่วมกับสถาบันการศึกษา เน้นการพัฒนาและยกระดับเกษตรกรรมในระดับท้องถิ่น จูงใจให้คนไทยกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง ทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดรายได้ ซึ่งอยากให้บีโอไอสร้างการเชื่อมโยงกับเกษตรอัจฉริยะ(สมาร์ทฟาร์มเมอร์) นำไปสู่การเชื่อมโยงการตลาดโลก เชื่อว่าบีโอไอจะออกแบบมาตรการส่งเสริมได้ไม่ยากนัก”นายสมคิดกล่าว
สำหรับมาตรการดังกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางเชิงนโยบายจากที่เคยเน้นดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) มาเป็นการส่งเสริมการลงทุนและผลิตสินค้าในไทยเป็นหลักก่อน ช่วยสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจในประเทศ สุดท้ายนักลงทุนต่างชาติก็จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และไต้หวัน ที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
บีโอไอจะนำเสนอมาตรการดังกล่าวให้ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาเห็นชอบต่อไปเร็วๆ นี้ เพิ่มเติมจากที่คณะกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการสรรหาและเจรจามีอำนาจพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนขนาดวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสนอให้บอร์ดบีโอไอพิจารณา
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการ บีโอไอ กล่าวว่าเบื้องต้น บีโอไอมีโครงการใหม่เพิ่มเติมที่เป็นกิจกรรมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคการเกษตร โดยจะจับคู่ให้มีการส่งวัตถุดิบทางการเกษตรเข้าสู่กระบวนการผลิตเริ่มต้นจากกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือรวมถึงเกษตรกรที่ผ่านมาตรฐานต่างๆ โดยในวันที่ 17 มิถุนายนนี้จะประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ)ซึ่งจะหารือเพื่อการปรับปรุงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรเพื่อเพิ่มความเหมาะสมโดยมีวัตถุประสงค์ในการกำหนดมาตรฐานให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
จากการหารือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (เจซีซี) ถึงสถานการณ์ความเชื่อมั่นการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นซึ่งได้รับคำยืนยันว่าบริษัทส่วนใหญ่ยังมองประเทศไทยมีศักยภาพในการรองรับการลงทุนอยู่ ด้วยความเหมาะสมของที่ตั้ง และความพร้อมของวัตถุดิบ แม้จะมีข้อเสียเปรียบเรื่องค่าแรงที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่มีผู้สนใจจะลงทุนเพิ่มเติมโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรและอาหารด้วย โดยบีโอไอจะต้องเน้นการเจรจาที่เข้าถึงเพื่อให้สามารถดึงเข้ามาลงทุนในประเทศได้
“จากข้อมูลการประเมินระดับโลก เห็นว่าในปีนี้เอฟดีไอในปีนี้จะลดลงกว่า 30-40% ซึ่งเรามั่นใจว่าหากบีโอไอสามารถดึงธุรกิจที่สำคัญเข้ามาลงทุนในประเทศได้ก็จะทำให้เอฟดีไอของไทยนั้นมีตัวเลขที่ดีกว่าระดับโลก ขณะที่ภาพรวมการขอส่งเสริมการลงทุนในปีนี้บีโอไอยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายตัวเลขที่ชัดเจน ต้องยอมรับว่าอาจจะมีระดับที่ลดลงจากเดิมพอสมควร แต่เราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด” นางสาวดวงใจ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี