นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้ก้าวสู่ Social Bank หรือธนาคารเพื่อสังคมเต็มรูปแบบ โดยจะขยายจากธนาคารเพื่อการพาณิชย์ที่เน้นรีเทล(รายย่อย) ให้เป็นธนาคารเพื่อสังคม ซึ่งจะเอากำไรมาสนับสนุนในภารกิจเพื่อสังคม ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้เห็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงมาก ปัญหาความยากจน จึงมีความจำเป็นที่ธนาคารต้องเข้ามาช่วยเหลือ และในอนาคตจะเน้นดูแลฐานราก ดูแลประชาชน ทำให้เกิดอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง โดยคาดหวังว่าธนาคารจะรุกขยายไปยังตลาด Non-Bank(ผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน)และหวังว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด Non-Bank จะลดลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ธนาคารจะมีความพร้อมในการรุกขยายตลาด Non-Bankในช่วงปลายปีนี้หรือในช่วงต้นปี 2564 โดยเชื่อมั่นว่าความเป็นธรรมจะสูงยิ่งขึ้น ทั้งนี้คาดว่าจะทำให้ดอกเบี้ยในตลาดลดลง8-10% และเชื่อว่าจะทำให้คนกว่า 10 ล้านคน ได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของทางภาครัฐที่ได้สั่งการให้ธนาคารออมสินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำ และเป็นแนวทางของกระทรวงการคลังอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการเปลี่ยน Positon ของธนาคารในการช่วยกลุ่มฐานรากมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารได้เตรียมเปิดสินเชื่อใหม่ในรูปแบบของ Non-Bank ซึ่งธนาคารได้เห็นอัตราดอกเบี้ยส่วนต่างของอัตราเงินกู้เงินฝากส่วนมาก แบงก์พาณิชย์อยู่ที่ประมาณ 3% แบงก์รัฐ อยู่ที่ประมาณ 2% ส่วนธนาคารออมสิน อยู่ที่ประมาณไม่ถึง 2% เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ขณะที่Non-Bank อยู่ที่ประมาณ 18-20%ซึ่งธนาคารเล็งเห็นว่าธนาคารควรจะเข้าไปดูแล ในเบื้องต้นธนาคารมีแผนจะเริ่มจากกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด คือ การจำนำทะเบียนรถ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการและคาดว่าจะให้เกิดความชัดเจนให้ได้ภายในปี 2564
“การนำธนาคารออมสินเข้าสู่ธุรกิจ Non-Bank อย่างเต็มตัว ภายใต้การมุ่งสู่ SocialBank ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาดในปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อย/ผู้มีรายได้น้อยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างผลเชิงบวกให้กับสังคมอย่างจริงจัง เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ และมุ่งเน้นสร้างกลไกเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้ากลุ่มฐานรากใช้บริการ Non-Bank”นายวิทัย กล่าว
ปัจจุบันธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยการขยายพักชำระหนี้จากสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้วจนถึงเดือนธันวาคมนี้ ลูกค้าของธนาคารสามารถเข้ามาแจ้งความจำนงในการพักชำระหนี้ได้ที่ธนาคาร ซึ่งธนาคารจะทำระบบเสร็จประมาณต้นเดือนกันยายนโดยสามารถสั่งการผ่านแอพพลิเคชั่น MyMo ได้ เพื่อเป็นการบรรเทาและเพื่อช่วยเหลือให้ภาระหนี้ต่างๆ ของลูกค้าลดลงได้
สำหรับในช่วงเวลาที่ผ่านมาธนาคารได้มีการพักชำระหนี้ให้ลูกค้าแล้วกว่า 3.1 ล้านราย และในจำนวนลูกค้าที่แจ้งความจำนงพักชำระหนี้บางส่วนได้มีแจ้งความจำนงเพื่อขอชำระหนี้เป็นปกติ หรือปิดบัญชี ซึ่งสามารถทำรายการได้ผ่านแอพพลิเคชั่น MyMo สำหรับกลุ่มลูกค้าของธนาคารโดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในกลุ่มฐานราก หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทั้งนี้เชื่อว่าลูกค้าเกือบทั้งหมดจะเข้าร่วมโครงการต่ออาจจะเข้าบางส่วนหรือจะจ่ายแค่ดอกเบี้ยประมาณ 3 ล้านราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี