ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics เผยยอดเงินฝากบุคคลธรรมดาธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาท ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 เหตุผู้ออมรายย่อยกังวลสถานการณ์โควิด โดยเงินฝากบัญชีออมทรัพย์เพิ่มถึง 16% ยอดอยู่ที่ 5.1 ล้านล้านบาท ขยับสัดส่วนออมทรัพย์ขึ้นเป็น 63% ทั้งที่ดอกเบี้ยแค่ 0.25% และช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงได้อีกส่งผลกระทบต่อรายได้ผู้ออมมากขึ้น หากผู้ออมรายย่อยโยกเงินจากบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปไปบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ น่าจะทำให้รายได้ของผู้ฝากเงินออมทรัพย์รายย่อยทั้งระบบจะเพิ่มจาก 12.7 พันล้านบาท เป็น 66.2 พันล้านบาท ภายในเวลา 1 ปี
ถึงแม้การออมเงินมีให้เลือกหลายรูปแบบ แต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ยังมีบทบาทสูง โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยง เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กดดันเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะนี้เงินฝากเพิ่มสูง โดยเฉพาะเงินฝากบุคคลธรรมดาเพิ่มจาก 7.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 เป็น 8.1 ล้านล้านบาท ณ พฤษภาคม 2563 หรือเพิ่ม 8.5% เมื่อเทียบกับปี 2560-2562 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4% ต่อปี สวนทางกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง เงินฝากออมทรัพย์เพิ่มขึ้น 16% จากสิ้นปี 2562 ทำให้สัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ขยับจาก 59% เป็น 63% (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ มิถุนายน 0.25%) ขณะที่เงินฝากประจำลดลงเหลือ 36% (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ มิถุนายน 0.44%)
ทั้งนี้คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เหลือ 0.25% โดยยังมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกหากมีปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มลดลงได้อีก จากแรงกดดันสภาพคล่องที่มีสูงตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝาก ขณะที่ปริมาณสินเชื่อชะลอลง
หากผู้ออมให้น้ำหนักเรื่องสภาพคล่องและรับความเสี่ยงได้ต่ำหรือรู้สึกอุ่นใจที่เก็บเงินสดไว้ ทำให้การฝากเงินกับธนาคารยังตอบโจทย์ได้ดี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ณ มิถุนายนเฉลี่ยที่ 0.25% เงินฝากประจำ 1 ปี เฉลี่ยที่ 0.48% บางธนาคารยังมีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษดอกเบี้ยสูง เช่น อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ทั่วไปถึง 5 เท่า คือราว 1.3% แต่มักมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น มียอดเงินฝากคงค้างตามที่กำหนด
จากฐานผู้ฝากเงินรายย่อยทั้งหมด 95.8 ล้านบัญชี เป็นบัญชีออมทรัพย์ 86.1 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 90% หากผู้ออมโยกเงินฝากจากบัญชีออมทรัพย์ที่รับดอกเบี้ยแค่ 0.25% ไปยังบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษที่ให้อัตราดอกเบี้ย 1.3% พบว่ารายได้ดอกเบี้ยของผู้ฝากเงินออมทรัพย์ทั้งระบบจะเพิ่มจาก 12.7 พันล้านบาท เป็น 66.2 พันล้านบาท ภายใน 1 ปี
แต่หากอยากจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ของภาครัฐที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ที่ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับเงินฝาก หากต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ การพิจารณาลงทุนในภาวะที่ยังมีความเสี่ยงจากการฟื้นตัวที่เปราะบางของทั้งเศรษฐกิจโลกและไทย ถือเป็นโจทย์ท้าทายรวมทั้งการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำแม้จะให้ผลตอบแทนสูงในฐานะที่เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีความปลอดภัยสูงในสายตานักลงทุนแต่ก็มีความผันผวนสูง
ดังนั้น ในภาวะที่รายได้ผู้ออมรายย่อยถูกสั่นคลอนจากการทรุดตัวของเศรษฐกิจการพิจารณาฝากเงินโดยเลือกบัญชีที่อัตราดอกเบี้ยสูงภายใต้เงื่อนไขที่รับได้รวมทั้งพิจารณาทางเลือกในการลงทุนอื่นๆที่อาจให้อัตราผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป็นแนวทางที่ช่วยพยุงรายได้ตอบโจทย์ของผู้ออมหรือผู้ลงทุนในช่วงที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี