นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กกร. ยังคงคาดการณ์ ตัวเลขกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)อยู่ที่ -9% ถึง -7% การส่งออก -12% ถึง -10% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ-1.5% ถึง 1%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคม 2563 หดตัวน้อยลง เนื่องจากภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดยาว รวมถึงการคลายล็อกกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ แต่โดยรวมเศรษฐกิจยังอ่อนแออยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน ส่วนสถานการณ์ตลาดแรงงานน่าเป็นห่วง โดยมีผู้ว่างงานแล้วกว่า 7 แสนคน ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 และยังมีผู้มีงานประจำแต่ปัจจุบันไม่ได้ทำงานอีกกว่า 2.5 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2562
ช่วงที่เหลือของปี 2563 เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกหลังจากที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสองในหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญ เช่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้น ทำให้แรงขับเคลื่อนของการฟื้นตัวเหลือแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนเป็นหลัก จึงต้องติดตามว่าทั้งสองประเทศนี้จะควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ระบาดรุนแรงได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีอุปสรรคอยู่มาก
“หากไม่เกิดการระบาดโควิดระลอกใหม่ในประเทศไทย หรือสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง กกร. มองว่าเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 แล้ว โดยกกร.จะประเมินจีดีพีใหม่อีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป” นายผยงกล่าว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สอท. กล่าวว่ากกร. ยังได้มีการหารือถึงความคืบหน้าของการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจที่จะต้องปรับปรุงกฎหมายหรือบทบัญญัติที่มีการซ้ำซ้อนออกไปซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการ อีส ออฟ ดูอิ้ง บิสสิเนสหรือการเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกิจ ทำให้วิธีการทำงานรวดเร็วขึ้น ลดต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยจะกำหนดเป้าหมายการติดตามเรื่องดังกล่าวกับทางภาครัฐ และจะนำผลการศึกษาที่ทำงานร่วมกันผ่านหลายคณะทำงาน เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
และเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ที่ประชุมกกร.เตรียมเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพิ่มสัดส่วนการเข้าค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)จากปัจจุบันอยู่ที่ 30%เป็น 50% เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้ และมาตรการที่สองเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นคู่ค้ากับหน่วยงานของรัฐ กกร.เสนอให้หน่วยงานภาครัฐเร่งเบิกจ่ายเงินในโครงการที่ได้ตรวจรับงานแล้วให้ได้ภายใน 30 วัน จากเดิมที่ขั้นตอนเบิกจ่ายจะใช้ระยะเวลากว่า 60 วัน เพื่อช่วยลดผลกระทบของเอสเอ็มอีจากการขาดเงินทุนหมุนเวียน และให้หน่วยงานภาครัฐทุกประเภทสามารถโอนสิทธิ์การรับเงินให้กับธนาคารได้ด้วย
“เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามใกล้ชิด คือ การแพร่ระบาดของโควิดที่ส่งผลกระทบทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งภาครัฐควรเปิดเวทีให้แสดงความคิดเห็นและรับฟังเพื่อนำไปปรับใช้หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อชาติแต่หากการชุมนุมยืดเยื้อก็จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศ ในส่วนของนักลงทุนขณะนี้ยังคงชะลอการลงทุนจากการแพร่ระบาดของโควิดแต่พร้อมที่จะลงทุนในไทยหากว่าไทยเปิดประเทศ เพราะเรายังมีศักยภาพในหลายๆด้านมากกว่าประเทศอื่นๆ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี